Facade Lighting งานตกแต่งเปลือกอาคารด้วยแสงไฟ

facade lighting

Facade Lighting งานตกแต่งเปลือกอาคารด้วยแสงไฟ

facade lighting

เราจะเห็นว่าตึกอาคารจะมีองค์ประกอบด้านหน้า เช่น หน้าต่าง กระจก ระเบียง ชายคา หรือสิ่งตกแต่งปลีกย่อยอื่นๆ องค์ประกอบเหล่านี้เรียกว่า Facade หรือในงานสถาปัตยกรรมจะเรียกว่า “เปลือกอาคาร” ที่นอกเหนือจากมีประโยชน์ในการปกป้องอาคารจากสภาวะแวดล้อมภายนอก ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมที่สำคัญของนักออกแบบ

นวัตกรรมแสงสว่าง LED
สำหรับบ้านพักอาศัยหรือคอนโดมิเนียม การตกแต่งของ facade จะค่อนข้างเรียบง่ายเพื่อความสะดวกในการใช้งานและการดูแลรักษา แต่ในอาคารพาณิชย์ เช่น ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรม สนามกีฬา อาคารสูง รวมไปถึงแลนด์มาร์คต่างๆ ที่ต้องการเน้นงานสถาปัตยกรรมที่ดึงดูดความสนใจ หรือสำหรับทำกิจกรรม เช่น ลานหน้าศูนย์การค้า การออกแบบของ facade จึงมีรายละเอียดลูกเล่นที่หลากหลายและซับซ้อนมากกว่า ซึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยสร้างมิติและความโดดเด่นคงไม่พ้นการออกแบบแสงไฟภายนอกอาคาร (Lighting Design for Exterior) เพื่อช่วยเพิ่มเสน่ห์และความสวยงามให้แก่อาคารในยามค่ำคืน
การใช้ไฟ LED เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีของการตกแต่งอาคารที่เพิ่มสีสัน สร้างอัตลักษณ์ ช่วยให้อาคารมองเห็นได้จากระยะไกล อาคารที่มีสถาปัตยกรรมการออกแบบภายนอกและตกแต่งด้วยแสงไฟที่สวยงามย่อมเป็นที่จดจำและพูดถึงในวงกว้าง ถือเป็นอีกกลยุทธ์ในการส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ และส่งเสริมการขาย

คุณสมบัติของหลอดไฟ LED

  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: หลอดไฟ LED แตกต่างจากหลอดไฟนีออนตรงที่ไม่มีแสง UV และไม่มีสารปรอท จึงไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ประหยัดพลังงาน: ประหยัดไฟมากกว่าหลอดไฟแบบปกติเนื่องจากมีการปล่อยความร้อนน้อยลงและใช้พลังงานน้อยกว่าเมื่อเทียบกับระดับแสงสว่างที่เท่ากัน
  • ทนทาน: วัสดุมีคุณภาพ ทนทาน ไม่แตกง่ายเหมือนหลอดไฟทั่วไป รวมถึงทนต่อการสั่นสะเทือนและสภาพอากาศต่างๆ
  • ถนอมสายตา: ให้แสงสว่างคงที่ สีคมชัดและไม่มีอาการไฟกระพริบ

การออกแบบแสงไฟ
การออกแบบแสงไฟมีหลายรูปแบบ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ไฟประดับทั่วทั้งอาคาร ขึ้นอยู่กับคอนเซ็ป สไตล์ของอาคารนั้นๆ เช่น

  • แบบ Direct View – ที่มักใช้ในรูปแบบของจอโฆษณา LED ขนาดใหญ่ (Media Facade) นิยมติดตั้งกับเปลือกอาคารที่เป็นพื้นผิวกระจกและมีความมันวาว
  • การส่องเน้นเฉพาะจุด (Accent Lighting) – โดยการใช้แสงไฟส่องเน้นไปยังจุดใดจุดหนึ่งหรือบริเวณที่สำคัญ ที่จะสามารถดึงดูดความสนใจได้มากที่สุด
  • แสงสว่างแบบเอฟเฟค (Effect Lighting) – การใช้โคมไฟติดตั้งด้านบนหรือด้านล่างของเปลือกอาคารเพื่อส่องแสงขึ้นหรือลงและสร้างรูปแบบของแสงที่กำแพง สร้างบรรยากาศที่น่าสนใจแต่ไม่ส่องเน้นวัตถุใดเป็นพิเศษ
  • แสงสว่างทางสถาปัตยกรรม (Architectural Lighting) – การใช้แสงสว่างที่สัมพันธ์กับงานทางด้านสถาปัตยกรรมหรือโครงสร้างของอาคาร เช่น การใช้หลืบร่องของผนังเป็นแหล่งกำเนิดแสง การใช้แสงจากมุมบังตา เพื่อเพิ่มมิติที่น่าดึงดูดให้กับอาคาร

ข้อคำนึงในการออกแบบ

  • ส่วนสูง ความกว้างและองค์ประกอบของอาคาร – วัสดุ การสะท้อนแสง และสีของเปลือกอาคารมีผลต่อการเลือกรูปแบบของโคมไฟ จำนวนที่ต้องใช้ และองศาที่เลือกเป็นจุดส่องแสงเพื่อให้เข้ากับภาพลักษณ์ของอาคาร
  • ตำแหน่งแสงไฟ – ต้องเป็นมุมที่ไม่ถูกบดบังด้วยต้นไม้หรืออาคารข้างเคียง ผู้คนที่เดินสัญจรไปมาหรือผู้ขับขี่บนท้องถนนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนทั้งจากระยะใกล้และไกล และแม้ว่าตำแหน่งติดตั้งควรอยู่ในจุดที่พรางสายตาแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถเข้าถึงได้เพื่อสะดวกต่อการบำรุงรักษา
  • แสงไฟและภูมิทัศน์ – แสงไฟที่ส่องสะท้อนและภูมิทัศน์รอบด้านเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการออกแบบและตำแหน่งการติดตั้ง ควรเลือกตำแหน่งบนเปลือกอาคารที่ไม่มีแสงส่องถึง เช่น บริเวณด้านบนที่ไกลจากแสงไฟจากถนน
  • ไม่ทำร้ายสายตา – ในขณะที่แสงไฟควรสร้างความสวยงามและมองเห็นได้ชัดเจน แต่ต้องระมัดระวังการเลือกใช้วัสดุที่ไม่เป็นแสงจ้าและส่องสว่างจนสร้างผลกระทบต่อดวงตาผู้คน

บี.กริม เทรดดิ้ง เรามีผู้เชี่ยวชาญยินดีให้คำแนะนำในการออกแบบและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ Facade Lighting ที่ได้มาตรฐาน มีระบบความปลอดภัยสูง และเหมาะสมกับสถาปัตยกรรมทุกรูปแบบ สามารถติดต่อเราได้ ที่นี่

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3232
Line : https://lin.ee/ItAW7DS @bgrimmtrading

EV Charger เครื่องชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถ EV

EV charger

EV Charger เครื่องชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถ EV

รถ EV (Electric vehicle) หรือรถยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นนวัตกรรมยานยนต์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหลายๆ ประเทศทั่วโลก แน่นอนว่าข้อดีของรถ EV คือขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ไม่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมรวมถึงยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและไร้ซึ่งเสียงรบกวน ซึ่งอุปกรณ์ที่มาคู่กันก็คือ EV Charger (เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า) ที่ทำหน้าที่เป็นตัวชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้กับแบตเตอรี่รถยนต์

โดยสามารถแบ่งการชาร์จออกเป็น 2 ประเภท คือการชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge) และการชาร์จแบบด่วน (Quick Charge/Fast Charge)

AC VS DC charging
  • 1. การชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge หรือ AC Charge) เป็นการชาร์จในที่พักอาศัยด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC (Alternative Current) ผ่านระบบชาร์จไฟ On-Board Charger ที่อยู่ภายในตัวรถ ซึ่ง On-Board Charger จะทำหน้าที่ในการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรง DC (Direct current) และคอยควบคุมไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลเกินค่าที่สายชาร์จกำหนด ระยะเวลาที่ใช้ในการชาร์จจะอยู่ที่ประมาณ 4-16 ชม. ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ รุ่นของรถยนต์ และขนาดของ On-Board Charger

ข้อดี – สะดวก ไม่ต้องหาสถานีบริการนอกบ้านและที่นั่งคอย เมื่อกลับถึงบ้านก็สามารถเสียบปลั๊กชาร์จในช่วงค่ำ และทิ้งไว้ข้ามคืนได้ พอถึงเช้าแบตเตอรี่ก็เต็มพร้อมใช้งานได้ทันที

ข้อจำกัด – ใครที่กำลังคิดจะติดตั้งระบบชาร์จที่บ้าน อย่าลืมสำรวจขนาดมิเตอร์ของตนเอง ซึ่งการไฟฟ้าแนะนำว่ามิเตอร์ควรมีขนาดขั้นต่ำที่ 30(100) แอมป์ (A) เนื่องจากรถ EV จะกินกระแสไฟฟ้าขณะชาร์จอย่างต่อเนื่องที่ 8A ถึง 16A มากกว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆภายในบ้าน นอกจากนี้คุณยังต้องติดตั้งเต้ารับ (Socket) โดยเฉพาะสำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วย

  • 2. การชาร์จแบบด่วน (Quick Charge/Fast Charge หรือ DC Charge) จะเป็นการชาร์จในสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งติดตั้งตู้ EV Charger สำหรับจ่ายไฟฟ้ากระแสตรง DC เข้าแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการชาร์จน้อยกว่าการชาร์จแบบธรรมดามาก โดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 30 นาที – 2 ชม. หรือถ้าเป็นแบบ DC High Power ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ในเวลาเพียง 10 – 20 นาทีเท่านั้น (จาก 0 – 80%)
    *ที่สถานีชาร์จจะมีให้บริการสำหรับหัวจ่าย AC ด้วย

ข้อดี – รวดเร็ว เหมาะกับเวลาแวะเที่ยว ซื้อของ หรือระหว่างเดินทางไกล สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มในระหว่างทำกิจกรรม

ข้อจำกัด – สถานีบริการอาจยังมีไม่ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ และเนื่องจากเครื่องชาร์จแบบ DC นั้นจะมีมูลค่าที่สูง ค่าใช้จ่ายในการชาร์จจึงสูงกว่าแบบ AC รวมถึงตัวแบตเตอรี่รถยนต์อาจเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

Versicharge siemens

เลือกใช้ EV Charger แบบไหนดี

  • เช็คขนาด On-Board Charger ของคุณ

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าระยะเวลาที่ใช้ในการชาร์จจะขึ้นอยู่กับว่า On-Board Charger ของรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อและรุ่นนั้นๆ มีความสามารถในการรับไฟได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งสามารถคำนวนเวลาคร่าวๆ โดยการเอาแบตเตอรี่รถยนต์หารด้วยขนาดของ On-Board Charger ยกตัวอย่างเช่น รถ EV ที่มีแบตเตอรี่รับไฟสูงสุด 24 kW/h และมี On-Board Charger ขนาด 3kW ระยะเวลาในการชาร์จจะอยู่ที่ประมาณ 8 ชม.

  • เลือกขนาดเครื่องชาร์จที่ใกล้เคียงกับ On-Board Charger

ซึ่งตัวเครื่องชาร์จเองได้ผลิตออกมาหลายขนาด เราสามารถเลือกใช้ขนาดใดก็ได้ แต่ความเร็วก็จะผันแปรตามกำลังชาร์จของเครื่องด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ถ้าเลือกใช้เครื่องชาร์จขนาดเล็กกว่า On-Board Charger ก็จะยิ่งใช้เวลานาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายิ่งขนาดใหญ่ก็จะยิ่งเร็วเสมอไป เพราะตัว Charger จะปรับลดขนาดไฟลงอัตโนมัติให้อยู่ในระดับที่ On-Board Charger สามารถรับได้นั่นเอง ดังนั้นจึงควรเลือกเครื่องชาร์จที่มีกำลังชาร์จเหมาะสมกับขนาดของ On-Board Charger ของรถยนต์ไฟฟ้าของคุณ

  • เครื่องชาร์จต้องมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน

สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงอย่างยิ่งในการเลือก EV charger คือคุณภาพและความปลอดภัย เนื่องจากการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านมักเป็นการชาร์จแบบข้ามคืน เครื่องชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐานอาจสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินหรือเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตจากไฟรั่วไฟฟ้าลัดวงจร จึงควรเลือกเครื่องชาร์จที่มีความปลอดภัยสูง มีระบบวงจรไฟฟ้าแยกอิสระกับเครื่องไฟฟ้าอื่นๆ ในบ้าน มีระบบป้องกันกระแสไฟเกิน ไฟรั่ว มีระบบควบคุมและตัดไฟอัตโนมัติเมื่อแบตเตอรี่เต็ม ทำให้มั่นใจว่ารถยนต์สามารถชาร์จได้เต็มประสิทธิภาพไม่ต้องกังวลว่าจะต้องคอยมาถอดสายชาร์จกลางดึก

ปัจจุบัน EV Charger ในตลาดยังมีจำหน่ายไม่แพร่หลายนัก บี.กริม เทรดดิ้ง เรามีผู้เชี่ยวชาญยินดีให้คำแนะนำ ทั้งการเลือกซื้อ EV Charger การเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าให้เหมาะสม และการติดตั้งกับระบบไฟบ้าน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย สามารถติดต่อเพื่อปรึกษาเราได้ ที่นี่

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3232
Line : https://lin.ee/ItAW7DS @bgrimmtrading

ทำความรู้จักกับ Chiller ระบบปรับอากาศขนาดใหญ่

Chiller

ทำความรู้จักกับ Chiller ระบบปรับอากาศขนาดใหญ่

Chiller Air carrier

ชิลเลอร์ (Chiller) เป็นระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ ทำหน้าที่ผลิตน้ำเย็นหรือปรับลดอุณหภูมิน้ำเพื่อจ่ายไปยังเครื่องปรับอากาศต่างๆ ในอาคาร ส่วนมากใช้ในอาคารขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้าหรือโรงงานที่ต้องอาศัยความเย็นในการควบคุมคุณภาพการผลิตสินค้า หรือใช้เป็นส่วนประกอบในการทำงานของเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นรวมถึงยังประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย

ชิลเลอร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  1. แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ (Water Cooled Chiller) เป็นระบบขนาดใหญ่ มีประสิทธิภาพในการทำความเย็นสูงแต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าระบบระบายด้วยอากาศเช่นกัน ในกรณีที่โครงการมีขนาดใหญ่ และมีความต้องการความเย็นมากมักจะนิยมใช้เครื่องทํานํ้า เย็นชนิดนี้ เพราะจะมีเครื่องทํานํ้าเย็นที่มีประสิทธิภาพสูงให้เลือกใช้ (0.62 – 0.75 กิโลวัตต์/ตัน) ทําให้ได้ระบบปรับอากาศที่กินไฟน้อยกว่าเครื่องแบบอื่นๆ มีอุปกรณ์หลักคือ คอมเพรสเซอร์ (Compressor) แผงระบายความร้อน (Condenser) และแผงคอยล์เย็น (Evaporator) หลักการทำงานโดยคร่าวๆ คือการใช้คอมเพรสเซอร์อัดสารทำความเย็นซึ่งอยู่ในรูปแบบของก๊าซเย็นความดันต่ำ จนกลายเป็นไอร้อนก่อนที่สารทำความเย็นนี้จะถ่ายเทความร้อนออกผ่านแผงระบายความร้อน เพื่อแปรสภาพเป็นของเหลว และลดความดันด้วยอุปกรณ์ลดแรงดัน ก่อนนำความเย็นที่ได้ไปใช้งาน การระบายความร้อนออกจากระบบจะใช้น้ำเป็นตัวกลางในการดึงความร้อนออกจากสารทำความเย็น ผ่านทางแผงระบายความร้อน จึงจำเป็นต้องมีหอหล่อเย็น (Cooling tower) เพื่อลดอุณหภูมิน้ำเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ในระบบ
  2. แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ (Air Cooled Chiller) เป็นระบบที่เล็กกว่าระบบแรกโดยมีความแตกต่างกันที่การระบายความร้อน ซึ่งระบบนี้จะไม่มีวงจรของน้ำระบายความร้อนเพราะจะใช้อากาศในการระบายความร้อน ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากที่สุดคือ เครื่องทำน้ำเย็นและมีอุปกรณ์ประกอบคือ ปั๊มน้ำเย็นและอุปกรณ์ส่งจ่ายลมเย็น เท่านั้น การระบายความร้อนออกจากสารทำความเย็นจะใช้อากาศดูดหรือเป่าไปยังขดท่อความร้อน ซึ่งพัดลมอาจมีจำนวนหลายชุดใน Chiller แต่ละชุด ดังนั้นเครื่องทำน้ำเย็นระบบนี้จะมีประสิทธิภาพต่ำกว่าแบบระบายความร้อนด้วยน้ำเพราะน้ำจะมีความสามารถในการระบายความร้อนสูงกว่า อีกทั้งเมื่อพัดลมชำรุดจะเกิดการลัดวงจรของลมทำให้ประสิทธิภาพลดลงด้วย

ทำไมถึงควรใช้ Chiller

  • ทำความเย็นได้รวดเร็ว ทั่วถึง
    เนื่องจากชิลเลอร์เป็นระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ที่มีขนาดใหญ่ จึงสามารถผลิตความเย็นได้อย่างรวดเร็ว และสามารถกระจายไปยังจุดต่างๆ ได้พร้อมๆ กันอย่างทั่วถึง
  • ประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย
    ชิลเลอร์ เป็นระบบปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องใช้งบประมาณส่วนใหญ่กับเครื่องปรับอากาศเพื่อรักษามาตรฐานการผลิต ซึ่งในรุ่นใหม่ๆ จะมีนวัตกรรมที่ประหยัดพลังงานมากกว่ารุ่นเก่า
  • เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อม
    ชิลเลอร์ไม่ได้ใช้สาร CFC ซึ่งเป็นสารทำความเย็นที่ทำลายชั้นบรรยากาศของโลก จึงจัดเป็นระบบปรับอากาศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ข้อจำกัด

  • ใช้พื้นที่ในการติดตั้งมาก
    เนื่องจากเป็นระบบขนาดใหญ่ จึงต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้งมาก บางครั้งอาจต้องติดตั้งภายนอกอาคารทำให้อายุการใช้สั้นลงเนื่องจากต้องทนทานกับสภาพอากาศ
  • การติดตั้งมีความยุ่งยาก
    การติดตั้งมีความยุ่งยากซับซ้อน ต้องจัดเตรียมโครงสร้างสำหรับติดตั้งเครื่อง และจัดตำแหน่งจัดวางที่แน่นอน เนื่องจากระบบมีขนาดใหญ่ การเคลื่อนย้ายตำแหน่งในภายหลังเป็นไปได้ยาก
  • ค่าใช้จ่ายสูง
    ตัวระบบมีราคาแพง รวมถึงการติดตั้งและการดูแลซ่อมบำรุงมีค่าใช้จ่ายที่สูง


ตอนนี้เราก็ได้รู้จัก Chiller แล้วว่ากี่ประเภทและทำงานอย่างไร สำหรับใครที่กำลังมองหาระบบปรับอากาศสำหรับใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม หรือใช้ในเชิงพาณิชย์ที่ต้องเปิดแอร์เป็นเวลานานในสถานที่ขนาดใหญ่ ลองให้ Carrier Chiller เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุณสามารถเลือกซื้อได้ เราจำหน่ายทั้งระบบ Water Cooled Chiller และ Air Cooled Chiller รับประกันมาตรฐานคุณภาพสินค้าระดับสูงสุดและบริการหลังการขาย

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3242
Line :  https://lin.ee/ItAW7DS  @bgrimmtrading

ประโยชน์จากหลอดไฟ UV-C

UVC

ประโยชน์จากหลอดไฟ UV-C

philips uvc

เราคงคุ้นหูกันดีกับรังสี UV-A และ UV-B ในแสงแดด ที่ถึงแม้จะมีประโยชน์ในการช่วยกระตุ้นการผลิตวิตามินดีและสามารถนำมารักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ แต่หากได้รับในปริมาณมากและเป็นระยะเวลานานก็จะเป็นอันตรายต่อผิวหนัง สร้างความเสียหายต่อดีเอ็นเอ และก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้

แล้วรังสี UV-C พบได้ที่ไหน

จริงๆ แล้ว รังสียูวีในแสงแดดถูกแบ่งออกเป็น 3 โซนด้วยกัน แต่แสงแดดที่มาถึงพื้นโลกจะมีคลื่นแสงยาวกว่า 290 nm ในขณะที่ UV-C มีช่วงความยาวคลื่นที่ 100 – 280 nm จึงมักมาไม่ถึงผิวโลก ยกเว้นในบริเวณยอดเขาสูง รังสี UV-C เป็นรังสีที่อันตรายต่อมนุษย์ในระดับรุนแรง ทำให้ผิวหนังไหม้เกรียม เยื่อบุตาอักเสบ หรือตาบอดได้ ด้วยความรุนแรงดังกล่าว UVC จึงจัดเป็นรังสีที่ประสิทธิภาพสูงในการฆ่าเชื้อโรค และการนำมาใช้งานจึงเกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ขึ้นเองผ่านระบบ “UVGI” (Ultraviolet Germicidal Irradiation) หรือ ระบบการใช้แสงยูวีที่มีความเข้มข้นสูงพิเศษ (Germicidal Range)

advantages of UVC

ประโยชน์ของ UV-C
UV-C มีพลังงานสูง ความยาวคลื่นยาวกว่ารังสี X-Ray สามารถส่องทะลุผ่านผิววัตถุรวมถึงดีเอ็นเอของเชื้อโรค จึงมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ ที่อยู่บนพื้นผิววัตถุและในอากาศในเวลาเพียงไม่กี่วินาที

หลอดไฟ UV-C
ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากการใช้เครื่องฟอกอากาศแล้วยังมีการนำรังสี UV-C มาใช้ร่วมเพื่อปรับคุณภาพอากาศ และเพื่อฆ่าเชื้อโรคไม่ว่าจะเป็นในสถานพยาบาล ห้องวิจัย อาคาร ร้านค้าต่างๆ หรือแม้แต่ในบ้านพักอาศัย และยิ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาประยุกต์ใช้ ในรูปแบบของหลอดไฟและโคมไฟแสง UV-C ที่สามารถนำไปใช้ได้หลากหลายลักษณะ เช่น

  1. เพื่อฆ่าเชื้อโรคในอากาศ (Air Disinfection) โดยการติดตั้งบนผนังหรือเพดาน
  2. เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่พื้นผิวของวัตถุ (Surface Disinfection) เช่นในรูปแบบของรถเข็นโดยส่องไปยังบริเวณพื้นห้อง เฟอร์นิเจอร์ ราวจับ ภาชนะบรรจุ หรืออุปกรณ์ต่างๆ
  3. เพื่อฆ่าเชื้อโรคในของเหลว (Liquid Disinfection) เช่นการฆ่าเชื้อในน้ำ เครื่องกรองน้ำ ตู้ปลา หรือสระว่ายน้ำ รวมถึงในอาหารสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร

การใช้งาน

  • ต้องถูกเชื้อโรคโดยตรง ในระยะเวลาที่เพียงพอ
    ประสิทธิภาพในการยับยั้งและทำลายเชื้อโรคของ UV-C ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ระยะเวลาที่ใช้ในการฆ่าเชื้อ ระยะห่าง ประเภทของพื้นผิวหรือวัตถุ รวมถึงชนิดของเชื้อโรค เนื่องจากเชื้อโรคบางชนิดสามารถทนต่อรังสีได้นาน
  • ควรใช้ในที่อากาศแห้ง
    รังสี UV-C จะมีประสิทธิภาพดีที่สุดเมื่อใช้ระดับความเข้มข้นน้อยในสถานที่ที่มีสภาพอากาศแห้ง หากใช้ในอากาศชื้นมากๆ จะต้องเพิ่มความเข้มของรังสีเป็นสองเท่า
  • ความเข้มแสงลดลงตามระยะห่าง
    ความเข้มของรังสีจะลดลงตามระยะห่างจากหลอดไฟ ประสิทธิภาพของแสงจึงอาจไม่เพียงพอในห้องที่มีปริมาตรขนาดใหญ่หรือมีฝ้าเพดานสูง อาจต้องเพิ่มจำนวนหลอด

ข้อพึงระวัง

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง
    ในขณะที่ UV-C มีประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อโรคหลากหลายชนิด แต่ก็เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ สามารถทำร้ายผิวหนังและเยื่อบุตาของคนและสัตว์ส่งผลให้ตาบอดได้ การใช้งานต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวังอย่างเคร่งครัด
  • ใช้ในพื้นที่ปิด ขณะเปิดใช้งานต้องไม่มีคนอยู่
    ต้องมั่นใจว่าขณะเปิดใช้งานไม่มีคนอยู่ในบริเวณนั้นๆ ควรมีไฟหรือสัญญาณแสดงเพื่อแจ้งเตือนว่าขณะนี้มีการเปิดใช้งานหลอด UV-C และควรมีระบบรีโมตในการเปิดปิดระยะไกล หรือใช้วิธีการเปิดปิดไฟได้สองทาง หรือมีเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวซึ่งจะปิดไฟอัตโนมัติเมื่อมีคนเข้ามาใกล้
  • ผลิตภัณฑ์ต้องได้มาตรฐาน
    ควรเลือกใช้หลอดไฟที่มีมาตรฐานควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยในการใช้งานในระดับสากลโดยองค์กรต่างๆ โดยเฉพาะในสถานพยาบาลที่ต้องมีมาตรฐานสำหรับใช้ในการโรงพยาบาลโดยเฉพาะเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโรค

บี. กริม เทรดดิ้ง เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ Philips สินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ได้มาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล และมีการรับประกันสินค้า

หลอดไฟ UV-C ของ Philips มาพร้อมระบบ Dynalite UV-C Control ที่ควบคุมปริมาณรังสีในปริมาณที่เหมาะสม และป้องกันการสัมผัสที่เป็นอันตราย มีระบบตั้งเวลาและสัญญาณแจ้งเตือนว่าระบบกำลังทำงาน มีเซนเซอร์จับความเคลื่อนไหวเพื่อหยุดทำงานทันทีหากพบว่าสถานที่มีการใช้งานอยู่หรือหากประตูเปิดเพื่อป้องกันอันตรายจากรังสี UV-C สัมผัสถูกคนหรือสัตว์

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3232
Line :  https://lin.ee/ItAW7DS  @bgrimmtrading

เทคโนโลยี VRF ในเครื่องปรับอากาศทำงานอย่างไร

technology vrf

เทคโนโลยี VRF ในเครื่องปรับอากาศทำงานอย่างไร

เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ มีหน้าที่ปรับอากาศให้เย็น หลักการทำงานคือการนำความร้อนในห้องออกไปยังนอกห้อง ผ่านคอยล์เย็น (Indoor unit) ซึ่งบรรจุสารทำความเย็นหรือน้ำยาแอร์แล้วเปลี่ยนสถานะให้เป็นไอ โดยใช้ Compressor เป็นตัวขับเคลื่อน ก่อนส่งต่อไปยังคอยล์ร้อน (Condenser) เพื่อลดอุณหภูมิและระบายความร้อนออกไปภายนอก สำหรับอาคารที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่จำเป็นที่จะต้องมีการติดตั้งระบบปรับอากาศซึ่งประกอบด้วยเครื่องปรับอากาศหลายชุดในระบบเดียว เรามักได้ยินชื่อของระบบ VRF อยู่เสมอ

แล้ว VRF คืออะไร? VRF หรือ Variable Refrigerant Flow เป็นระบบปรับอากาศชนิดหนึ่ง อย่างที่กล่าวข้างต้นว่าเครื่องปรับอากาศทั่วไปจะมีระบบการทำงานกันแบบแยกส่วน หนึ่งคอยล์ร้อนต่อหนึ่งคอยล์เย็น แต่สำหรับระบบ VRF จะใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างออกไป คือหนึ่งคอยล์ร้อนสามารถต่อได้หลายคอยล์เย็น และเป็นระบบแบบแปรผันน้ำยา โดยจะคำนวณปริมาณน้ำยาให้ตรงกับความต้องการของแต่ละพื้นที่ที่มีสภาวะความร้อนที่แตกต่างกัน

คุณสมบัติ

  • เชื่อมต่อกับคอยล์เย็นได้หลายตัว ประหยัดพื้นที่วางคอยล์ร้อน
    แอร์ระบบทั่วไปจะต้องใช้คอยล์ร้อนตามจำนวนแอร์ เช่นแอร์ 10 ตัว ก็ต้องติดตั้งคอยล์ร้อนจำนวน 10 ตัว ทำให้ต้องหาพื้นที่สำหรับติดตั้งค่อนข้างมาก อีกทั้งเป็นการบดบังทัศนียภาพของอาคาร แต่คอยล์ร้อนของระบบ VRF หนึ่งตัวสามารถเชื่อมต่อกับคอยล์เย็นในระบบเดียวกันได้หลายตัว (ขึ้นอยู่กับขนาด BTU ของคอยล์ร้อน) จึงประหยัดพื้นที่สำหรับวางคอยล์ร้อน เหมาะสำหรับอาคารพาณิชย์ สำนักงาน โรงงาน โรงแรม หรือที่พักอาศัยที่มีพื้นที่ภายนอกจำกัด
  • ติดตั้งคอยล์ร้อนในระยะไกลได้
    นอกจากจะประหยัดพื้นที่ในวางคอยล์ร้อนแล้ว ระบบยังถูกออกแบบมาให้สามารถเดินท่อน้ำยาได้ในระยะไกลกว่าระแบบแอร์ทั่วไปมาก ตำแหน่งของคอยล์ร้อนและคอยล์เย็นจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กัน เช่น หากเป็นตึกอาคารที่มีแอร์ตามชั้นต่างๆ คอยล์ร้อนของระบบแอร์ทั่วไปจะต้องติดตั้งใกล้กับแอร์ อาจต้องวางตามระเบียงตามจำนวนของแอร์ แต่ระบบ VRF สามารถที่จะนำคอยล์ร้อนแยกไว้บนชั้นดาดฟ้า หรือนำไปซ่อนไว้ในจุดที่ไม่ต้องการให้พบเห็น ทำให้ไม่มีเสียงจากคอยล์ร้อนเข้าไปรบกวนคนในอาคาร เรียกว่าช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ทั้งภายในและภายนอกของอาคารเลยทีเดียว
  • ควบคุมจากส่วนกลาง ปรับอุณหภูมิแต่ละพื้นที่ได้ตามต้องการ
    โดยปกติเราจะเห็นว่าแอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้ในอาคารสำนักงานหรือตามห้างสรรพสินค้า จะมีอุณหภูมิเดียวกันทั่วทุกบริเวณไม่สามารถปรับแยกได้ แต่ระบบ VRF มีการควบคุมคอยล์เย็นแบบอิสระ ทำให้เราสามารถเลือกปรับอุณหภูมิในแต่ละห้องหรือแต่ละพื้นที่ตามความต้องการได้ นอกจากนี้ด้วยความสามารถในการควบคุมจากส่วนกลาง ผู้ใช้งานจึงตั้งเวลาเปิด-ปิด หรือเลือกเปิดแอร์ในเฉพาะบางห้องหรือบางบริเวณได้ รวมถึงสามารถกำหนดสิทธ์ในการเปิด-ปิด หรือการปรับอุณหภูมิในห้องต่างๆ ได้
  • ใช้งานกับแอร์ได้หลายชนิด
    ระบบ VRF รองรับการใช้งานร่วมกับแอร์หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นแอร์ติดผนัง แอร์แขวน แอร์แบบคาสเซ็ท แอร์ตู้ตั้งพื้น ไปจนถึงแอร์เปลือยต่อท่อลม ผู้ใช้งานจึงสามารถเลือกชนิดของแอร์ที่ตรงกับความต้องการและเข้ากับงานโครงสร้างและการออกแบบของอาคารได้
  • ประหยัดไฟ
    แน่นอนว่าทุกคนล้วนมองหาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน แอร์ระบบ VRF เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า เพราะคอมเพรสเซอร์ทำงานด้วยระบบอินเวอร์เตอร์ มีประสิทธิภาพในการประหยัดไฟสูง คุ้มค่าในระยะยาว

ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง

  • ค่าใช้จ่าย
    VRF เป็นระบบปรับอากาศที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ในขณะที่มีประสิทธิภาพการทำงานและการเชื่อมต่อกับคอยล์เย็นที่เหนือกว่าแอร์ระบบทั่วไป ราคาของมันก็สูงกว่าด้วยเช่นกัน ผู้ใช้งานจึงควรพิจารณาถึงวัตถุประสงค์และความต้องการก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ
  • การซ่อมบำรุง
    แอร์ระบบทั่วไปมีการเชื่อมต่อของคอยล์ร้อนกับแอร์แบบตัวต่อตัว เมื่อเครื่องมีปัญหาหรือทำงานขัดข้อง ก็จะกระทบแค่แอร์ตัวนั้นๆ และการซ่อมแซมก็ไม่ซับซ้อนยุ่งยากนัก แต่เนื่องจาก VRF เชื่อมต่อและควบคุมการจ่ายน้ำยาสู่คอยล์เย็นหลายตัว ในกรณีที่คอยล์ร้อนขัดข้อง (ซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นค่อนข้างยาก) จึงส่งผลกระทบต่อทั้งระบบ รวมถึงต้องอาศัยช่างผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะในการซ่อมแซม

ดูข้อมูลสินค้า VRF (เครื่องปรับอากาศแบบรวมศูนย์) ->https://bit.ly/3ngE7ig
แคตตาลอคสินค้า VRF -> https://bit.ly/3C0S8oy

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม บี.กริม เทรดดิ้ง เราพร้อมให้คำปรึกษาเพื่อการเลือกใช้ระบบปรับอากาศที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3242

การเลือก Digital Door Lock สำหรับโรงแรม

how to choose digital door lock for hotel

การเลือก Digital Door Lock สำหรับโรงแรม

ในปัจจุบันจะเห็นว่ามีบ้านและคอนโดจำนวนไม่น้อยเริ่มหันมาเลือกใช้ Digital door lock หรือระบบล็อคประตูอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการล็อคประตูและตอบโจทย์ชีวิตในยุควิถีใหม่ที่เน้นความสะดวก สะอาดและลดการสัมผัส แต่สำหรับธุรกิจโรงแรม Digital door lock ถือเป็นเทคโนโลยีที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ใช้สำหรับการบริหารควบคุมระบบการเข้า-ออก การเช็คอิน-เช็คเอ้าท์ของลูกค้า เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของธุรกิจ อำนวยความสะดวกและสร้างความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการ

หากคุณเป็นเจ้าของโรงแรมที่กำลังตัดสินใจว่าจะใช้ Digital door lock ดีหรือไม่สำหรับโรงแรมใหม่ของคุณ หรือต้องการจะปรับปรุงระบบของโรงแรมเดิม วันนี้ บี.กริม เทรดดิ้ง มีเหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรเลือกใช้ Digital door lock พร้อมคำแนะนำในการเลือกซื้อ เพื่อให้เหมาะสมที่สุดกับโรงแรมของคุณ

ทำไมถึงควรใช้ Digital Door Lock 

infographic Door lock-01

  • ระบบความปลอดภัยสูง
    Digital door lock มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง รองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบของธุรกิจ ด้วยซอฟต์แวร์ที่สามารถกำหนดวันเวลาการเข้า-ออกประตูตามระดับการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น สำหรับลูกค้าที่เข้าพัก แม่บ้าน หรือผู้ดูแลตึก หากทำบัตรสูญหายสามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนบัตรใหม่ได้ทันที
  • สะดวก ใช้งานง่าย
    ขั้นตอนการใช้งานไม่ซับซ้อนยุ่งยาก บัตรที่ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วสามารถให้งานได้ทันที เพียงเสียบหรือทาบกับตัวเครื่องก็สามารถเข้าห้องพักได้ และเมื่อออกจากห้องพัก เพียงพกบัตรไปด้วย ระบบล็อคจะทำการปิดไฟฟ้าในห้องพักอัตโนมัติ เป็นการประหยัดพลังงาน
  • ติดตั้งง่าย
    Digital door lock ทุกรุ่นใช้ระบบแบตเตอรีไม่ได้ใช้ไฟฟ้า จึงไม่ต้องเดินสายไฟและเมื่อไฟดับจึงสามารถใช้งานได้ตามปกติ โดยเฉลี่ยแบตเตอรีมีอายุใช้งานประมาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ ซึ่งตัวเครื่องจะมีสัญญาณแจ้งเตือนเมื่อแบตเตอรีอ่อน
  • ดีไซน์ทันสมัย แข็งแรงทนทาน
    มีดีไซน์ที่สวยงามทันสมัย การออกแบบมีทั้งแบบหนึ่งชิ้นและแยกสองชิ้น มีวัสดุพื้นผิวและที่จับให้เลือกหลากหลายแบบเข้าได้กับประตูทุกสไตล์ ทนทานต่อการกัดกร่อนในทุกสภาพอากาศ
    ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของโรงแรม

Digital Door Lock มีกี่แบบ

ในปัจจุบัน Digital door lock พัฒนาออกมาหลายชนิดด้วยกัน สำหรับธุรกิจโรงแรม มี 3 ชนิดที่เป็นที่นิยมได้แก่

  1. ชนิดบัตรแถบแม่เหล็ก (Magstripe Card)
    เป็นระบบล็อคประตูรุ่นมาตรฐานแบบเสียบคีย์การ์ดเข้ากับตัวเครื่อง ระบบทำงานโดยการอ่านบัตรสองครั้ง (หนึ่งครั้งระหว่างการใส่และอีกครั้งในระหว่างการดึงบัตรออก) มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งถูกกว่าระบบอื่นๆ ถูกใช้ในธุรกิจโรงแรม อพาร์ทเม้นท์ คอนโดมาเป็นระยะเวลายาวนานลูกค้าจึงคุ้นเคยกับการใช้งานเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการบำรุงรักษาที่ตามมาค่อนข้างสูง เนื่องจากฝุ่นละอองอาจจับตัวที่ตัวเครื่องทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ต้องมีการทำความสะอาดสม่ำเสมอ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนบัตรที่อาจชำรุด และต้องมีพนักงานประจำการตลอดเวลา
  2. ชนิดไร้สัมผัส RFID
    ใช้เทคโนโลยีการอ่าน RFID แบบไม่ต้องสัมผัส สามารถใช้อุปกรณ์เปิดได้หลายแบบทั้งคีย์การ์ด, พวงกุญแจ (Key Fob) หรือ สายรัดข้อมือ (Wristband) ไม่ต้องเสียบหรือรูดบัตรกับตัวเครื่อง การ์ด RFID มีราคาสูงกว่าบัตรแถบแม่เหล็กแต่ก็มีความทนทานและมีอายุการใช้งานที่นานกว่าเนื่องจากไม่ต้องมีการเสียดสี มีความเสี่ยงต่อการปลอมแปลงต่ำ บางรุ่นโดยเฉพาะในแบรนด์ชั้นนำสามารถอัพเกรดระบบเพื่อรองรับการใช้งานผ่านมือถือ รวมถึงรองรับเทคโนโลยีเสริมเพิ่มความปลอดภัย โดยไม่ต้องทำการตัดประตูหรือทาสีใหม่
  3. ระบบเชื่อมต่อกับมือถือ (Mobile Access)
    ระบบควบคุมจัดการได้จากทางไกล เป็นเทคโนโลยีที่สร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ลูกค้า โดยการเชื่อมต่อด้วยบลูทูธหรือWi-Fi ผ่านแอปพลิเคชันที่สามารถสั่งงานเปิด-ปิดล็อคได้ด้วยมือถือ ช่วยประหยัดเวลาเนื่องจากลูกค้าไม่จำเป็นต้องเข้าคิวติดต่อที่เคาท์เตอร์โรงแรม แต่สามารถใช้สมาร์ทโฟนในการเข้าออกห้องพักผ่านแอปพลิเคชั่นของโรงแรม ซึ่งโรงแรมสามารถใช้เป็นช่องทางในการโฆษณาสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านอาหาร ข้อเสนอพิเศษหรือบริการต่างๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มความปลอดภัยอีกขั้นจากการใช้พาสเวิร์ด ลดการสัมผัส เหมาะกับชีวิตในยุควิถีใหม่

ข้อควรคำนึง

  • คุณภาพ มาตรฐานสินค้า
    ต้องมั่นใจได้ในคุณภาพของสินค้า หากระบบล็อคชำรุดจะทำให้ลูกค้าเข้าออกห้องพักไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของโรงแรง หรือหากเป็นระบบที่ไม่ได้มาตรฐานอาจเสี่ยงต่อการถูกปลอมแปลงหรือถูกเจาะเข้าระบบได้โดยง่าย เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของลูกค้า จึงควรเลือกสินค้าจากแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ใช้กันแพร่หลายในโรงแรมที่มีชื่อเสียงต่างๆ
  • ผู้ผลิตต้องมีความน่าเชื่อถือ
    นอกจากจะมีรุ่นและระบบที่ตรงความต้องการและมีราคาที่เหมาะสมแล้ว ผู้ประกอบการควรเลือกผู้จัดจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ มีการรับประกันสินค้า เนื่องจากการใช้งาน Digital door lock ไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อการติดตั้งสมบูรณ์เรียบร้อย แต่ยังมีเรื่องของการปรับปรุงอัพเดทระบบ การบำรุงรักษาซ่อมแซม รวมถึงการจัดหาอะไหล่ จึงต้องมั่นใจได้ถึงบริการภายหลังการขายด้วย

บี.กริม เทรดดิ้ง มีผู้เชี่ยวชาญยินดีให้คำแนะนำสำหรับ Digital Door Lock ที่เหมาะกับโรงแรมของคุณ เราเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าจาก Onity มั่นใจในมาตรฐานความปลอดภัยและการใช้งานจริงในโรงแรมทุกระดับ ดูแลตั้งแต่การติดตั้งไปจนถึงบริการหลังการขาย

ค้นหาข้อมูลสินค้าสินค้าเพิ่มเติม
https://bit.ly/36d5r7g

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3241

ติดแอร์แบบฝังฝ้าเพดาน (Cassette type) ดีหรือไม่ ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง

Cassette type air conditioning

ติดแอร์แบบคาสเซ็ท (Cassette) ดีไหม ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง

ถ้าพูดถึงแอร์ที่ใช้งานตามบ้าน ร้านค้า หรือออฟฟิศขนาดเล็ก เรามักนึกถึงแอร์แบบติดผนัง (Wall Type) หรือแอร์บ้านยอดนิยม ด้วยราคาที่จับต้องได้และการติดตั้งที่สะดวกไม่ยุ่งยาก ในขณะที่ แอร์แบบคาสเซ็ทหรือแอร์แบบฝังฝ้าเพดาน (Cassette Type) มักจะพบเห็นตามร้านค้า อาคาร หรือโครงการบ้านยุคใหม่ที่มีดีไซน์ทันสมัยและมีมูลค่าสูงเนื่องจากตัวเครื่องมีรูปลักษณ์ที่สวยงามกลมกลืนกับสถานที่ได้เป็นอย่างดี จริงๆ แล้วแอร์แบบคาสเซ็ทไม่ได้มีดีแค่หน้าตา ใครที่กำลังมองหาแอร์หรือกำลังตัดสินใจว่าจะใช้แอร์แบบคาสเซ็ท ดีไหม วันนี้เรารวบรวมจุดเด่นและข้อควรคำนึงก่อนตัดสินใจมาให้ 

จุดเด่นของแอร์ฝังฝ้าเพดานหรือแบบคาสเซ็ท (Cassette Type)

Air Cassette type
Air Cassette type
  1. รูปลักษณ์
    ปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดเด่นที่เห็นชัดที่สุดของแอร์คาสเซ็ทคือหน้าตาที่สวยงาม ด้วยดีไซน์ที่เรียบหรูและการฝังซ่อนใต้ฝ้าทำให้ตัวเครื่องดูกลมกลืนกับห้องมากกว่าแอร์ชนิดอื่นๆ สามารถเข้าได้กับการตกแต่งภายในของบ้าน ร้านค้า คาเฟ่ หรือสำนักงานทุกสไตล์อย่างลงตัว
  2. ประหยัดพื้นที่
    การติดตั้งแอร์แบบคาสเซ็ทนั้นจะฝังตัวเครื่องพร้อมท่อน้ำยาลงบนฝ้า จึงทำให้ไม่เปลืองพื้นที่บนผนังและไม่มีท่อน้ำยารบกวนสายตา ทำให้ห้องดูโล่งโปร่งสบาย เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการความสวยงามหรือมีข้อจำกัดในการติดตั้ง เช่น ห้องที่มีดีไซน์ส่วนใหญ่เป็นกระจก หรือไม่มีพื้นที่ที่เหมาะสมบนผนัง ตอบโจทย์บ้าน อาคาร ออฟฟิสยุคใหม่ที่มีการตกแต่งทันสมัย
  3. กระจายลมรอบทิศทาง
    ต้องบอกว่าแอร์แบบคาสเซ็ทไม่ได้มีดีเพียงแค่รูปลักษณ์ จุดเด่นที่เหนือกว่าแอร์ชนิดอื่นคือเรื่องของการกระจายลม ที่สามารถทำได้ตั้งแต่ 4 ทิศทางไปจนถึงรอบทิศทางแบบ 360 องศา บวกกับตำแหน่งการติดตั้งกลางห้องที่ช่วยให้กระจายความเย็นได้ทั่วถึงอย่างรวดเร็ว จัดเป็นแอร์ประเภทที่สามารถทำความเย็นได้เร็วที่สุด ทั้งยังสามารถควบคุมทิศทางกระจายลมได้อีกด้วย เลือกได้ว่าจะส่งลมไปยังพื้นที่จุดไหนให้มากยิ่งขึ้น หรือจะควบคุมไม่ให้ลมไปปะทะตัวคนมากเกินไปก็ทำได้ นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมี BTU สูงกว่าแอร์แบบติดผนัง ใครที่กำลังมองหาแอร์สำหรับใช้งานภายในห้องขนาดใหญ่ มั่นใจได้เลยว่าแอร์แบบคาสเซ็ทให้ความเย็นได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงอย่างแน่นอน
  4. ประหยัดไฟ ไม่มีเสียงรบกวน
    หากคุณคิดว่าแอร์แบบคาสเซ็ทเปลืองไฟคงต้องคิดใหม่ เพราะมีระบบการทำงานแบบอินเวอร์เตอร์ให้เลือก ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ามีอัตราการกินไฟน้อย รวมถึงทนทานต่อไฟตก ไฟเกิน มั่นใจได้ถึงการประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะในรุ่นที่มีการรับรองด้วยฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมีการทำงานที่เงียบกว่าแอร์ธรรมดา จึงไม่มีเสียงรบกวนในระหว่างการพักผ่อนหรือการทำงานอย่างแน่นอน

ก่อนจะตัดสินใจซื้อแอร์แบบคาสเซ็ท ควรจะต้องรู้อะไรบ้าง
ในขณะที่แอร์แบบคาสเซ็ท มาพร้อมกับดีไซน์และฟังก์ชั่นอันครบครัน ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ต้องการความสวยงามและทันสมัย ก่อนเลือกใช้งานคุณอาจต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้ด้วย

Air Cassette type

  1. ความสูงของห้อง
    หากคิดติดแอร์แบบคาสเซ็ท ลำดับแรกที่ต้องคำนึงคือเรื่องความสูงของห้อง เนื่องจากแอร์ปล่อยความเย็นจากด้านบน ระยะพื้นกับฝ้าเพดานจึงไม่ควรสูงเกิน 3.5 – 4 เมตร เพื่อให้มั่นใจว่าห้องของคุณจะได้รับความเย็นอย่างทั่วถึง
  2. การติดตั้ง
    ในการติดตั้งต้องเว้นพื้นที่ว่างระหว่างฝ้ากับเพดานห้องประมาณ 30 ถึง 45 เซนติเมตรสำหรับวางตัวเครื่อง หากมีระยะห่างไม่พอก็จะไม่สามารถติดตั้งได้ จึงไม่เหมาะกับห้องที่มีเพดานต่ำ นอกจากนี้ เนื่องจากตัวเครื่องติดตั้งอยู่บนฝ้า จึงแนะนำให้ติดตั้งแอร์ก่อนจะทำงานฝ้าเพดาน เพื่อลดความยุ่งยากในการกรีดเปิดฝ้าและเก็บงานในภายหลัง
  3. ท่อระบบแอร์
    ท่อระบบแอร์ (ท่อน้ำยาแอร์และท่อน้ำทิ้งแอร์) ต้องมีคุณภาพและมีความหนาได้มาตรฐานตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ นอกจากนี้ ตัวฉนวนหุ้มท่อระบบแอร์ควรมีขนาดหนากว่าปกติทั่วไป เนื่องจากไอน้ำที่เกาะอยู่รอบๆ ท่อ อาจหยดลงฝ้าเพดานและสร้างความเสียหายแก่ตัวฝ้าได้ ทำให้การเดินท่อน้ำยาแอร์ฝังฝ้าเพดานนั้นมีความยุ่งยากมากกว่าแอร์ชนิดอื่น
  4. การบำรุงรักษา
    เช่นเดียวกับแอร์ประเภทอื่น ๆ แอร์แบบคาสเซ็ทควรมีการทำความสะอาดขั้นต่ำปีละ 1-2 ครั้งในกรณีใช้งานตามบ้านพักอาศัย หากใช้งานในร้านค้าหรือสำนักงานที่มีคนเข้าออกพลุกพล่าน ปริมาณฝุ่นละอองและความสกปรกอาจมีมากกว่าที่พักอาศัยทั่วไป จึงควรล้างทำความสะอาดปีละ 3-4 ครั้ง ซึ่งจะช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และประหยัดค่าไฟเนื่องจากไม่มีสิ่งสกปรกไปอุดตัน

บี.กริม เทรดดิ้ง เราเป็นตัวแทนจำหน่าย Carrier แคเรียร์ แอร์คอนดิชั่น ทางเราพร้อมให้ข้อมูลในการติดตั้ง และข้อมูลสินค้าแอร์ทุกชนิดของ แคเรียร์ หรือสามารถดูข้อมูลสินค้าเราได้ที่ หน้าสินค้าได้เลยค่ะ https://bgrimmtechnologies.com/product-category/air-conditioners/

สนใจสอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3242

4 เหตุผลที่โรงแรมของคุณควรลงทุนกับตู้เซฟ

4 reasons to invest electronic safe

4 เหตุผลที่โรงแรมของคุณควรลงทุนกับตู้เซฟ

ในช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนหย่อนใจของเหล่านักท่องเที่ยว คงไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้หมดสนุกอย่างทรัพย์สินส่วนตัวเสียหายหรือถูกขโมย การติดตั้งตู้เซฟและระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมจึงเป็นหนึ่งในเรื่องที่หลายคนให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ในการเลือกจองโรงแรมและห้องพัก ทว่ากลับเป็นสิ่งที่เจ้าของกิจการส่วนใหญ่มักมองข้าม

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันสูงและผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคา สถานที่ และความครบครันของบริการได้อย่างง่ายดายแบบนี้ มาดูกันว่าการมีตู้เซฟจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโรงแรมของคุณได้อย่างไรบ้าง

1. สร้างความแตกต่างให้โรงแรมของคุณ
ในปัจจุบันที่แค่เพียงไม่กี่คลิกก็สามารถเปรียบเทียบสิ่งอำนวยสะดวกและบริการของโรงแรมต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าผู้บริโภคย่อมต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งไม่ได้หมายถึงราคาที่ถูกกว่า แต่คือความคุ้มค่าของบริการที่จะได้รับจากเงินที่ใช้ไป ทั้งด้านความสะดวกสบายและความปลอดภัย หากโรงแรมของคุณมีบริการที่ค่อนข้างครบถ้วน แต่ก็ยังไม่ได้แตกต่างจากโรงแรมอื่นมากนัก การมีตู้เซฟในห้องพักถือเป็นจุดแข็งที่จะสร้างความโดดเด่นและดึงความสนใจให้คนอยากเข้าพักได้

2. เพิ่มความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้กับลูกค้า
นอกเหนือจากความสะดวกสบายในด้านต่างๆ ทั้งสภาพห้อง บริการ และการเดินทาง การเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยด้วยตู้เซฟก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยสร้างความประทับใจให้ลูกค้าอย่างครอบคลุมทุกด้าน ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือและมั่นใจในความปลอดภัยต่อทรัพย์สินส่วนตัว ส่งผลให้เกิดความพึงพอใจและอยากกลับมาใช้บริการในครั้งต่อไป รวมถึงอาจเพิ่มโอกาสการบอกต่อความประทับใจกับเพื่อนฝูงหรือเขียนรีวิวดีๆ บนโซเชียลให้กับโรงแรมของคุณได้

3. สร้างความพึงพอใจในบริการต่อกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการใช้ตู้เซฟ
ลูกค้าที่มาพักในโรงแรมอาจเป็นใครก็ได้ เช่น นักท่องเที่ยวที่มาเป็นครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน นักธุรกิจที่มาสัมมนาหรือคุยงาน ผู้ที่มาทำธุระหรือร่วมงานอีเว้นท์ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน เมื่อถึงเวลาออกไปเที่ยวพักผ่อนข้างนอกก็ไม่มีใครอยากพกของมีค่าให้รุงรังหรือเพิ่มน้ำหนักโดยไม่จำเป็น ครั้นจะวางของไว้ในห้องแต่กลับไม่มีตู้เซฟที่รับประกันความปลอดภัยได้ ก็จะเกิดความกังวล เที่ยวแบบไม่สบายใจ ซึ่งส่งผลต่อความพึงพอใจในบริการและการให้คะแนนบนเว็บไซต์ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าบริการของเราจะตอบโจทย์ความต้องการอย่างครบครันที่สุด การมีตู้เซฟไว้บริการลูกค้ากลุ่มนี้จึงเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การลงทุน

4. ลดปัญหาการลักขโมยหรือความเสียหายต่อทรัพย์สินของลูกค้า
ปัญหาการลักขโมยแล้วเข้าใจผิดว่าพนักงานเป็นผู้กระทำผิดเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ การมีตู้เซฟจะช่วยป้องกันเหตุการณ์เหล่านี้โดยส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย คือเพิ่มความปลอดภัยต่อทรัพย์สินมีค่าของลูกค้า และป้องกันกรณีที่เป็นการเข้าใจผิดต่อพนักงาน เพราะคนส่วนใหญ่เลือกใส่ข้าวของสำคัญในตู้เซฟเพื่อความอุ่นใจ โอกาสที่จะเกิดกรณีแบบนี้ก็จะน้อยลง นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือข้อผิดพลาดระหว่างการทำความสะอาดจนส่งผลให้ข้าวของสำคัญของลูกค้าเสียหายอีกด้วย

ตัวเลือกที่ดีที่สุดไม่จำเป็นต้องราคาถูกที่สุด หากโรงแรมของคุณมีบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการและมีมาตรฐานความปลอดภัยที่ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ ก็ย่อมเพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและส่งมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจได้ไม่ยาก

สุดท้ายนี้ ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อตู้เซฟสำหรับโรงแรมของคุณ อย่าลืมคำนึงถึงระบบความปลอดภัยที่แน่นหนา ใช้งานง่าย และขนาดความจุด้วย เพราะหลายคนอาจต้องการตู้เซฟสำหรับใส่สิ่งของที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เช่น คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก แท็บเล็ต กล้องถ่ายรูป เป็นต้น

หากตัดสินใจไม่ถูกว่าควรเลือกตู้เซฟแบบใดให้เหมาะกับการใช้งานของลูกค้า บี.กริม เทรดดิ้ง ยินดีให้คำแนะนำ เราเป็นตัวแทนจำหน่ายตู้เซฟ Onity ผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบตู้เซฟสำหรับโรงแรมโดยเฉพาะ รับประกันมาตรฐานความปลอดภัยและการใช้งานจริงในโรงแรมทุกระดับ ดูแลตั้งแต่การให้ข้อมูลตู้เซฟแต่ละแบบ วิธีการใช้งาน ไปจนถึงบริการหลังการขาย

ลงทุนกับตู้เซฟโรงแรมอย่างคุ้มค่า เลือกบริการที่วางใจได้กับ Onity ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่

ข้อมูลสินค้าสินค้าเพิ่มเติม 
https://bit.ly/3ujMnhg

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3241

9 วิธีดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศด้วยตัวเอง ยืดอายุการใช้งาน ลดฝุ่นสะสมในเครื่อง

Cover Article air-conditioner-maintenance

9 วิธีดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศด้วยตัวเอง ยืดอายุการใช้งาน ลดฝุ่นสะสมในเครื่อง

เครื่องปรับอากาศ หรือแอร์ ก็เหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ที่มีวันเสื่อมสภาพตามการใช้งาน ยิ่งช่วงไหนอากาศร้อนเปิดแอร์ทั้งวันตัวเครื่องก็ยิ่งต้องทำงานหนัก หากไม่ใส่ใจดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่ตามมาคงหนีไม่พ้นสารพัดปัญหาน่าปวดหัว ทั้งแอร์ไม่เย็น แอร์กินไฟ หรือแอร์น้ำหยด แทนที่จะรอให้ปัญหาเหล่านี้มากวนใจในวันที่ร้อนอบอ้าว บี.กริม เทรดดิ้ง มีเทคนิคดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศง่ายๆ ไม่ง้อช่าง สำหรับเป็นแนวทางในการถนอมและยืดอายุการใช้งาน ช่วยประหยัดค่าไฟไปด้วยในตัว หากใช้คู่กับเครื่องฟอกอากาศยิ่งทำให้คุณภาพอากาศดียิ่งขึ้นไปอีก

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจการทำงานและส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศคร่าวๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าแต่ละส่วนทำงานอย่างไรบ้าง

ระบบการทำงานของเครื่องปรับอากาศส่วนมากประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ ได้แก่

1. ส่วนที่อยู่ภายในอาคาร เรียกว่าชุดคอยล์เย็น หรือแฟนคอยล์ยูนิต (Fan coil unit) มีหน้าที่ส่งอากาศเย็นเข้าสู่ภายในอาคาร ประกอบด้วยคอยล์เย็น ใบพัดลมคอยล์เย็น มอเตอร์พัดลม และแผ่นกรองอากาศ
2. ส่วนที่อยู่ภายนอกอาคาร เรียกว่าชุดคอยล์ร้อน หรือคอนเดนซิ่งยูนิต (Condensing unit) หรือที่มักเรียกกันว่าคอมแอร์ ทำหน้าที่ช่วยระบายความร้อนจากเครื่องปรับอากาศออกสู่ภายนอก ประกอบด้วยคอนเดนเซอร์ คอมเพรสเซอร์ พัดลมคอยล์ร้อน มอเตอร์ และแผงไฟฟ้า

ทั้งสองส่วนนี้เชื่อมต่อกันด้วยท่อทองแดงและสายไฟ โดยชุดคอยล์เย็นจะช่วยดูดซับความร้อนภายในห้องและระบายออกทางชุดคอยล์ร้อน จากนั้นอากาศเย็นที่เกิดจากน้ำยาแอร์ที่ผ่านการลดอุณหภูมิและลดความดันด้วยคอมเพรสเซอร์ก็กลายเป็นลมแอร์เย็นเป่าเข้ามาในห้อง

การเลือกขนาด BTU ของแอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ของห้อง จะช่วยให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่สิ้นเปลืองพลังงาน และประหยัดค่าใช้จ่าย สามารถดูวิธีการเลือก BTU ให้กับห้องของคุณได้ที่ลิ้งค์นี้ค่ะ https://bgrimmtechnologies.com/carrier_btu_aircondition/

เทคนิคดูแลเครื่องปรับอากาศด้วยตัวเอง
ทุกส่วนของเครื่องปรับอากาศล้วนต้องการการดูแลเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ เทคนิคต่อไปนี้เป็นวิธีการดูแลและล้างแอร์บ้านในเบื้องต้นที่ทำได้ด้วยตนเอง เพื่อคงอากาศดีภายในบ้านของคุณในทุกๆ วัน

คำเตือน: เพื่อความปลอดภัยควรปิดสวิตช์หรือดึงเบรกเกอร์ลงทุกครั้งก่อนการถอดทำความสะอาดหรือการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศลักษณะใดก็ตาม ไม่ควรฉีดน้ำเข้าไปยังบริเวณอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในตัวเครื่อง และควรใช้บันใดที่แข็งแรงในการปีนถอดหรือใส่อุปกรณ์ หากไม่มีความชำนาญ แนะนำให้ล้างเฉพาะแผ่นกรองอากาศและพื้นผิวภายนอกเท่านั้น และเรียกใช้บริการช่างแอร์สำหรับล้างส่วนอื่นทุกๆ 6-12 เดือนเพื่อป้องกันความเสียหายของชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าภายใน

1. หมั่นถอดล้างแผ่นกรองอากาศ
แผ่นกรองอากาศหรือฟิลเตอร์แอร์ เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่คอยทำหน้าที่ดักจับฝุ่นละอองในอากาศไม่ให้เข้าไปถึงคอยล์เย็น หากไม่ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอจะเกิดการสะสมอุดตันของฝุ่นและสิ่งสกปรกต่างๆ ส่งผลให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักและไม่เย็นเท่าที่ควร หรืออาจทำให้มีน้ำแข็งเกาะที่คอยล์เย็น และมีน้ำหยดจากตัวเครื่อง

ฟิลเตอร์มีลักษณะเป็นแผ่นตะแกรงที่มักทำจากใยสังเคราะห์และมีโครงเป็นพลาสติก อยู่ใต้บริเวณหน้ากากหรือฝาหน้าของแอร์ โดยเมื่อยกฝาหน้าของเครื่องขึ้นก็จะเจอกับฟิลเตอร์ทันที ทั้งนี้เครื่องปรับอากาศบางรุ่นอาจมีฟิลเตอร์ 2 ชนิด คือฟิลเตอร์แบบหยาบสำหรับกรองฝุ่นขนาดกลาง-ใหญ่ และฟิลเตอร์แบบละเอียดสำหรับกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งแบบหลังจะไม่สามารถถอดออกมาล้างได้และต้องแกะออกจากฟิลเตอร์หยาบก่อนล้างทุกครั้ง การถอดล้างฟิลเตอร์แบบหยาบมีขั้นตอนไม่ซับซ้อน ทำได้ดังนี้

● ถอดฟิลเตอร์ด้วยความระมัดระวังเพื่อป้องกันฝุ่นฟุ้งกระจาย
● ฉีดล้างด้วยน้ำแรงดันปานกลาง และอาจใช้น้ำสบู่พร้อมกับแปรงขนนุ่มขัดเบาๆ เพื่อกำจัดฝุ่น
● ตากให้แห้ง แล้วใส่กลับเข้าตามเดิม

ความถี่ในการถอดล้างฟิลเตอร์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของฟิลเตอร์ ความถี่ในการเปิดใช้งาน หรือสภาพแวดล้อมทั้งในและนอกบ้าน โดยหากเป็นห้องที่อยู่ติดถนนหรือภายในบ้านมีฝุ่นเยอะ ควรถอดฟิลเตอร์ออกมาล้างอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง แต่หากฝุ่นไม่เยอะหรือไม่ได้ใช้งานบ่อยอาจถอดล้าง 3-4 ครั้งต่อปี

2. ทำความสะอาดแผงคอยล์เย็น
แผงคอยล์เย็น มีลักษณะเป็นท่อที่ขดไปมาตามความยาวของเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแผ่นครีบอะลูมิเนียมบางๆ เป็นซี่ถี่ ทำหน้าที่เป็นตัวสร้างความเย็น โดยภายในจะมีสารทำความเย็นไหลเวียนอยู่ ทำงานร่วมกับพัดลมในการรับและส่งลมเย็นเข้าสู่ห้อง

เมื่อถอดหน้ากากของเครื่องออกจะเห็นแผงคอยล์เย็นได้ทันที บางรุ่นอาจอยู่บริเวณใต้ฟิลเตอร์ และจะสังเกตได้ถึงฝุ่นผงขนาดเล็กที่สามารถลอดผ่านฟิลเตอร์เข้ามา ซึ่งเมื่อนานไปจะจับตัวหนาขึ้นจนอากาศไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ทำให้ประสิทธิภาพของระบบทำความเย็นลดลงได้เช่นเดียวกับปัญหาฟิลเตอร์ตัน

ขั้นตอนการทำความสะอาดแผงคอยล์เย็นมีดังต่อไปนี้

● ใช้แปรงสีฟันลากตามแนวของแผ่นครีบอะลูมิเนียมจนทั่วเพื่อกำจัดฝุ่นที่เกาะอยู่
● จากนั้นใช้น้ำฉีดหรือราดเบาๆ เพื่อให้ฝุ่นออกไปตามน้ำ และต้องระวังไม่ให้น้ำกระเซ็นเปียกส่วนด้านในที่เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าของเครื่อง
● หากฝุ่นเกาะตัวเหนียวจนไม่สามารถล้างด้วยน้ำได้ ควรใช้สเปรย์โฟมล้างแอร์สำหรับแผงคอยล์เย็นเพื่อช่วยขจัดคราบให้หลุดได้ง่ายขึ้น โดยฉีดให้ทั่วบริเวณแล้วรอจนแห้ง แล้วฉีดน้ำล้างออก ซึ่งน้ำที่ฉีดล้างจะไหลลงถาดรองรับน้ำทิ้งของเครื่องปรับอากาศไปเอง
● หากครีบอะลูมิเนียมงอหรือโค้งจนปิดกั้นจนลมแอร์ออกมาไม่สะดวกอาจใช้หวีคอยล์ค่อยๆ แปรงดัดให้กลับมาตรงดังเดิม แต่ควรทำอย่างระมัดระวังเพราะบริเวณนี้มีความคม อาจทำให้บาดมือได้

ทั้งนี้ สเปรย์โฟมที่ใช้ต้องเป็นน้ำยาทำความสะอาดที่ระบุให้ใช้กับแผงคอยล์เย็นได้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีสารตกค้างที่เป็นอันตรายและไม่ทำความเสียหายต่อส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ

3. กำจัดฝุ่นบริเวณใบพัดลมคอยล์เย็น
ใบพัดลมคอยล์เย็นหรือ โบลเวอร์ คือบริเวณที่มีลมเย็นออกมา มีลักษณะเป็นช่องๆ เรียงตัวตามแนวยาว ทำหน้าที่ช่วยให้เกิดการไหลเวียนของลม บริเวณนี้มักจะมีฝุ่นผงมาเกาะตัว ส่งผลให้ร่องดักลมของใบพัดอุดตัน ส่งลมเย็นออกไปได้น้อยลง ทำให้ต้องใช้เวลานานขึ้นในการทำความเย็น และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เครื่องปรับอากาศกินไฟมากขึ้น นอกจากนี้ฝุ่นหนาที่จับตัวอาจทำให้ใบพัดมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นและเสียสมดุลจนเกิดเสียงดังขณะเครื่องทำงานได้

● ในเครื่องปรับอากาศบางรุ่นอาจมีแผงกันใบพัดคอยล์เย็น ให้ถอดส่วนนี้ออกก่อน
● ใช้น้ำฉีดชำระฝุ่นบริเวณใบพัดลมคอยล์เย็น
● อาจตามด้วยสเปรย์ล้างแอร์สำหรับใบพัดคอยล์เย็น รอให้โฟมแห้ง แล้วจึงฉีดน้ำล้างอีกที
● น้ำที่ล้างบริเวณนี้จะไหลออกมาจากเครื่องปรับอากาศ เพื่อไม่ให้เลอะเทอะควรใช้ถุงล้างแอร์ครอบบริเวณด้านใต้เพื่อรองรับน้ำที่ล้างด้วย

4. ล้างถาดรองรับน้ำทิ้งและตรวจสอบท่อน้ำทิ้ง
นอกจากแผงคอยล์เย็นและใบพัดลมคอยล์เย็น ถาดรองรับน้ำและท่อน้ำทิ้งก็เป็นอีกส่วนที่ควรได้รับการดูแลไปพร้อมกัน เพราะเป็นบริเวณที่น้ำที่เกิดจากการกลั่นตัวของไอน้ำไหลไปรวมกัน ซึ่งนานวันอาจเกิดเป็นเมือกและเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพของคนในบ้านได้

วิธีการทำความสะอาดถาดรองรับน้ำสามารถใช้แปรงขนแข็งขัดถูหรือจะถอดออกมาล้างแล้วค่อยใส่กลับเข้าไปตามเดิมก็ได้ ส่วนการทำความสะอาดท่อน้ำทิ้งอาจใช้เครื่องเป่าลมหรือใช้น้ำที่มีแรงดันฉีดเข้าไปภายในท่อ แต่จะทำได้เมื่อมั่นใจว่าไม่มีรอยรั่วตามท่อเท่านั้น และควรตรวจดูว่าท่อมีความโค้งงอซึ่งอาจเป็นจุดสะสมของน้ำหรือสิ่งสกปรกหรือไม่

5. หมั่นเช็ดทำความสะอาดบริเวณโครงเครื่อง หน้ากากรับลม และหน้ากากจ่ายลม
ตัวเครื่องปรับอากาศบริเวณที่เป็นโครงสร้างหรือพื้นผิวภายนอกนั้นควรมีการทำความสะอาดหรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดถูเป็นประจำ หรือจะถอดออกมาล้างก็ได้

6. ดูแลบริเวณชุดคอยล์ร้อนอย่าให้มีสิ่งกีดขวาง
ไม่ใช่แค่ชุดคอยล์เย็นเท่านั้นที่ต้องหมั่นดูแล ชุดคอยล์ร้อนที่อยู่บริเวณนอกบ้านเป็นอีกส่วนที่ไม่ควรละเลยเช่นกัน เพราะฝุ่นและสิ่งสกปรกต่างๆ อาจเข้าไปอุดตันหรือขัดขวางช่องทางระบายลมร้อนและส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ทำให้เย็นน้อยลงหรือกินไฟมากกว่าปกติ

สำหรับการดูแลชุดคอยล์ร้อนนั้นควรดูให้พื้นที่โดยรอบสะอาด ไม่มีเศษใบไม้ ขยะ หรือสิ่งกีดขวางทางระบายลมของเครื่อง และสามารถกำจัดฝุ่นที่สะสมตามชุดคอยล์ร้อนด้วยตนเองเบื้องต้นโดยใช้น้ำฉีดล้างตามแนวด้านข้างและด้านหลังในทิศทางเฉียงไปทางพื้น โดยไม่ต้องถอดฝาเครื่อง และห้ามฉีดไปยังภายในบริเวณตัวเครื่องโดยตรงเพราะอาจเปียกแผงไฟฟ้าและเกิดความเสียหายได้

7. เปิดใช้งานเครื่องปรับอากาศเป็นระยะ
แม้จะเป็นช่วงฤดูหนาวที่อากาศไม่ร้อนหรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน ก็ควรคอยเปิดใช้งานเป็นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเครื่องยังทำงานเป็นปกติ และเพื่อป้องกันแมลงหรือสัตว์เล็กเข้าไปทำรัง ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของเครื่องและนำมาซึ่งกลิ่นอับหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้

8. ลดภาระของเครื่องปรับอากาศให้มากที่สุด
ระหว่างเปิดใช้งานควรตรวจสอบหน้าต่างและประตูให้ปิดสนิท และไม่ควรใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อนซึ่งจะส่งผลให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิห้อง เช่น ไมเครเวฟ เตาอบ หม้อหุงข้าว เป็นต้น

9. ตรวจสอบโหมดการตั้งค่าของรีโมท
การตั้งค่าโหมดการทำงานให้เหมาะสมกับอากาศและการใช้งานมีส่วนช่วยถนอมการใช้งานเครื่องปรับอากาศและช่วยประหยัดค่าไฟได้ อาจตั้งโหมดประหยัดพลังงานหรือตั้งเวลาเปิดปิดอัตโนมัติในทุกๆ วัน เพื่อจำกัดช่วงเวลาในการใช้ นอกจากนี้ควรตรวจสอบการทำงานของรีโมทโดยสังเกตจากหน้าจอแสดงผล และควรเก็บให้ห่างจากเด็กและสัตว์เลี้ยงเพื่อป้องกันการตั้งค่าที่คลาดเคลื่อน หรือหากไม่ได้ใช้รีโมทเป็นเวลานานก็ควรถอดถ่านออก

การดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศเป็นประจำนั้น นอกจากจะช่วยลดการใช้กระแสไฟฟ้าแล้ว ยังส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพอากาศที่ดีภายในบ้าน ให้คุณสูดอากาศสดชื่น ไร้กลิ่นอับ นอนหลับสบายยิ่งขึ้น แถมลดการเกิดภูมิแพ้ได้อีกด้วย

รู้วิธีบำรุงรักษาด้วยตัวเองแบบนี้แล้ว ก็อย่าลืมตรวจล้างแอร์เป็นประจำทุกปีโดยช่างเทคนิคด้วย เพราะยังมีอีกหลายขั้นตอนที่ต้องอาศัยความชำนาญ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง และการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดต่อตัวเครื่อง

ให้แอร์ที่ดีที่สุดของเรา เป็นแอร์ที่ดีที่สุดของคุณ วางใจเมื่อซื้อแอร์แคเรียร์ (Carrier) ที่ บี.กริม เทรดดิ้ง เราพร้อมจำหน่ายสินค้าแอร์ทุกชนิดเช่น เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน(Split Type Air Conditioners) เครื่องเป่าลมเย็น และเครื่องส่งลมเย็น (Fan Coil Units (FCU) and Air Handling Units (AHU)) และเครื่องทำน้ำเย็น(Chillers) พร้อมรับบริการซ่อมแซม ตรวจเช็กสภาพ และบริการอื่นๆอย่างครบวงจรจากผู้เชี่ยวชาญของเราได้ทุกเมื่อ

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3242

ขั้นตอนในการตรวจสอบเครื่องสูบน้ำดับเพลิงอย่างง่าย

cover-article firepump checklist

การตรวจสอบเครื่องสูบน้ำดับเพลิงอย่างง่าย

การตรวจสอบเครื่องสูบน้ำดับเพลิงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ต้องมีความพร้อมในการใช้งาน ต้องทำงานได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากที่สุด การตรวจสอบหรือทดสอบเครื่อง มี 4 รูปแบบ

  • ตรวจทุกวัน
  • ตรวจทุกสัปดาห์
  • ตรวจทุก 6 เดือน
  • ตรวจทุก 1 ปี

ตรวจทุกวัน

  • ดูแลระบบทั่วๆไป อยู่ในสภาพปกติ
  • ดูมาตรวัดแรงดันน้ำในระบบ
  • ดูเครื่องบันทึกแรงดันน้ำในระบบ
  • ดูระบบไฟฟ้า กระแสและแรงดัน
  • ไฟฟ้าที่ตู้ควบคุมและที่เครื่องยนต์

ตรวจทุกสัปดาห์

  • ระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่
  • สายไฟต่างๆตรึงแน่น
  • ตรวจระดับน้ำมันเครื่องและกรองน้ำมันเครื่อง
  • ตรวจระดับน้ำมันเชื้อเพลิง
  • ตรวจระบบหล่อเย็นเครื่อง

ตรวจทุก 6 เดือน

  • ตรวจระบบท่อจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง
  • ตรวจกรองอากาศ
  • ตรวจสายพานขับ
  • ตรวจชุดควบคุมความเร็วรอบ
  • ตรวจระบบท่อระบายไอเสีย
  • ตรวจชุดชาร์จแบตเตอรี่
  • ตรวจสวิตช์คันโยกมือ
  • ตรวจแผงควบคุมเครื่อง
  • ทุกรายการของการตรวจทุกสัปดาห์

ตรวจทุก 1 ปี

  • เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและกรองอากาศน้ำมันเครื่อง
  • เปลี่ยนกรองอากาศ
  • เปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิง
  • ทุกรายการของการตรวจทุก 6 เดือน
การดูแลรักษาเครื่องยนต์
การตรวจเช็คทั่วไป
  1. ตรวจสอบระดับน้ำและทำความสะอาดระบบระบายความร้อน
  2. เปลี่ยนท่อยางต่าง ๆ เท่าที่จำเป็น
  3. ตรวจทำความสะอาดขั้วไฟฟ้าต่าง ๆ และขั่วแบตเตอรี่
  4. ตรวจดูระบบท่อไอเสีย
  5. ตรวจดูสกรูยึดแท่นเครื่องต่าง ๆ
  6. ตรวจเช็คระยะกันรุนของข้อเหวี่ยง
  7. ตรวจดูระบบไดชาร์จ
  8. ตรวจดูระบบมอเตอร์สตาร์ทและเยนเนอเรเตอร์
  9. ควรตรวจเช็คตามมาตรฐานของผู้ผลิต

หมายเหตุ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องควรจะเปลี่ยนหลังจากใช้งาน 50 ชั่วโมงแรก แล้วจึงเริ่มนับเวลาใหม่

ข้อแนะนำในการใช้แบตเตอรี่

  1. แบตเตอรี่ต้องติดตั้งอย่างแน่นหนาในที่สำหรับติดตั้ง
  2. สายไฟสำหรับต่อระหว่างขั้ว ควรจะติดให้แน่นและยาวพอสมควร เพื่อป้องกันการลัดวงจร
  3. การขันขั้วแบตเตอรี่ควรใช้กุญแจปากตายอย่าใช้วิธีปิดกับขั้ว เพราะจะทำให้ขั้วชำรุด
  4. รักษาแบตเตอรี่ให้สะอาด โดยเฉพาะที่ระบายอากาศของฝาเติมน้ำ อย่าให้มีผงฝุ่นอุดตัน
  5. รักษาแบตเตอรี่ส่วนบนให้สะอาดอยู่เสมอ ถ้าขั้วสกปรกหรือมีคราบขาวเกาะให้ล้างด้วยน้ำร้อนและทาวาสลินที่ขั้ว
  6. ถ้าสตาร์ทติดยาก หรือวัด ถพ. ได้ต่ำกว่า 1,200 แสดงว่าไฟไม่พอ ให้นำแบตเตอรี่ไปชาร์จไฟจนกว่าจะเต็ม
  7. ถ้าเก็บแบตเตอรี่ไว้โดยไม่ได้ใช้ หรือใช้ไม่สม่ำเสมอควรนำมาชาร์จไฟอย่างน้อยเดือน ละครั้ง
  8. ในกรณีที่แบตเตอรี่ไฟหมด โปรดนำไปตรวจที่ร้านผู้แทนจำหน่ายแบตเตอรี่ไม่ควรเทน้ำกรดทิ้งแล้วเติมน้ำกรดใหม่ เพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสียหายได้

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3211