ติดแอร์แบบฝังฝ้าเพดาน (Cassette type) ดีหรือไม่ ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง

Cassette type air conditioning

ติดแอร์แบบคาสเซ็ท (Cassette) ดีไหม ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง

ถ้าพูดถึงแอร์ที่ใช้งานตามบ้าน ร้านค้า หรือออฟฟิศขนาดเล็ก เรามักนึกถึงแอร์แบบติดผนัง (Wall Type) หรือแอร์บ้านยอดนิยม ด้วยราคาที่จับต้องได้และการติดตั้งที่สะดวกไม่ยุ่งยาก ในขณะที่ แอร์แบบคาสเซ็ทหรือแอร์แบบฝังฝ้าเพดาน (Cassette Type) มักจะพบเห็นตามร้านค้า อาคาร หรือโครงการบ้านยุคใหม่ที่มีดีไซน์ทันสมัยและมีมูลค่าสูงเนื่องจากตัวเครื่องมีรูปลักษณ์ที่สวยงามกลมกลืนกับสถานที่ได้เป็นอย่างดี จริงๆ แล้วแอร์แบบคาสเซ็ทไม่ได้มีดีแค่หน้าตา ใครที่กำลังมองหาแอร์หรือกำลังตัดสินใจว่าจะใช้แอร์แบบคาสเซ็ท ดีไหม วันนี้เรารวบรวมจุดเด่นและข้อควรคำนึงก่อนตัดสินใจมาให้ 

จุดเด่นของแอร์ฝังฝ้าเพดานหรือแบบคาสเซ็ท (Cassette Type)

Air Cassette type
Air Cassette type
  1. รูปลักษณ์
    ปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดเด่นที่เห็นชัดที่สุดของแอร์คาสเซ็ทคือหน้าตาที่สวยงาม ด้วยดีไซน์ที่เรียบหรูและการฝังซ่อนใต้ฝ้าทำให้ตัวเครื่องดูกลมกลืนกับห้องมากกว่าแอร์ชนิดอื่นๆ สามารถเข้าได้กับการตกแต่งภายในของบ้าน ร้านค้า คาเฟ่ หรือสำนักงานทุกสไตล์อย่างลงตัว
  2. ประหยัดพื้นที่
    การติดตั้งแอร์แบบคาสเซ็ทนั้นจะฝังตัวเครื่องพร้อมท่อน้ำยาลงบนฝ้า จึงทำให้ไม่เปลืองพื้นที่บนผนังและไม่มีท่อน้ำยารบกวนสายตา ทำให้ห้องดูโล่งโปร่งสบาย เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการความสวยงามหรือมีข้อจำกัดในการติดตั้ง เช่น ห้องที่มีดีไซน์ส่วนใหญ่เป็นกระจก หรือไม่มีพื้นที่ที่เหมาะสมบนผนัง ตอบโจทย์บ้าน อาคาร ออฟฟิสยุคใหม่ที่มีการตกแต่งทันสมัย
  3. กระจายลมรอบทิศทาง
    ต้องบอกว่าแอร์แบบคาสเซ็ทไม่ได้มีดีเพียงแค่รูปลักษณ์ จุดเด่นที่เหนือกว่าแอร์ชนิดอื่นคือเรื่องของการกระจายลม ที่สามารถทำได้ตั้งแต่ 4 ทิศทางไปจนถึงรอบทิศทางแบบ 360 องศา บวกกับตำแหน่งการติดตั้งกลางห้องที่ช่วยให้กระจายความเย็นได้ทั่วถึงอย่างรวดเร็ว จัดเป็นแอร์ประเภทที่สามารถทำความเย็นได้เร็วที่สุด ทั้งยังสามารถควบคุมทิศทางกระจายลมได้อีกด้วย เลือกได้ว่าจะส่งลมไปยังพื้นที่จุดไหนให้มากยิ่งขึ้น หรือจะควบคุมไม่ให้ลมไปปะทะตัวคนมากเกินไปก็ทำได้ นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมี BTU สูงกว่าแอร์แบบติดผนัง ใครที่กำลังมองหาแอร์สำหรับใช้งานภายในห้องขนาดใหญ่ มั่นใจได้เลยว่าแอร์แบบคาสเซ็ทให้ความเย็นได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงอย่างแน่นอน
  4. ประหยัดไฟ ไม่มีเสียงรบกวน
    หากคุณคิดว่าแอร์แบบคาสเซ็ทเปลืองไฟคงต้องคิดใหม่ เพราะมีระบบการทำงานแบบอินเวอร์เตอร์ให้เลือก ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ามีอัตราการกินไฟน้อย รวมถึงทนทานต่อไฟตก ไฟเกิน มั่นใจได้ถึงการประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะในรุ่นที่มีการรับรองด้วยฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมีการทำงานที่เงียบกว่าแอร์ธรรมดา จึงไม่มีเสียงรบกวนในระหว่างการพักผ่อนหรือการทำงานอย่างแน่นอน

ก่อนจะตัดสินใจซื้อแอร์แบบคาสเซ็ท ควรจะต้องรู้อะไรบ้าง
ในขณะที่แอร์แบบคาสเซ็ท มาพร้อมกับดีไซน์และฟังก์ชั่นอันครบครัน ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ต้องการความสวยงามและทันสมัย ก่อนเลือกใช้งานคุณอาจต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้ด้วย

Air Cassette type

  1. ความสูงของห้อง
    หากคิดติดแอร์แบบคาสเซ็ท ลำดับแรกที่ต้องคำนึงคือเรื่องความสูงของห้อง เนื่องจากแอร์ปล่อยความเย็นจากด้านบน ระยะพื้นกับฝ้าเพดานจึงไม่ควรสูงเกิน 3.5 – 4 เมตร เพื่อให้มั่นใจว่าห้องของคุณจะได้รับความเย็นอย่างทั่วถึง
  2. การติดตั้ง
    ในการติดตั้งต้องเว้นพื้นที่ว่างระหว่างฝ้ากับเพดานห้องประมาณ 30 ถึง 45 เซนติเมตรสำหรับวางตัวเครื่อง หากมีระยะห่างไม่พอก็จะไม่สามารถติดตั้งได้ จึงไม่เหมาะกับห้องที่มีเพดานต่ำ นอกจากนี้ เนื่องจากตัวเครื่องติดตั้งอยู่บนฝ้า จึงแนะนำให้ติดตั้งแอร์ก่อนจะทำงานฝ้าเพดาน เพื่อลดความยุ่งยากในการกรีดเปิดฝ้าและเก็บงานในภายหลัง
  3. ท่อระบบแอร์
    ท่อระบบแอร์ (ท่อน้ำยาแอร์และท่อน้ำทิ้งแอร์) ต้องมีคุณภาพและมีความหนาได้มาตรฐานตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ นอกจากนี้ ตัวฉนวนหุ้มท่อระบบแอร์ควรมีขนาดหนากว่าปกติทั่วไป เนื่องจากไอน้ำที่เกาะอยู่รอบๆ ท่อ อาจหยดลงฝ้าเพดานและสร้างความเสียหายแก่ตัวฝ้าได้ ทำให้การเดินท่อน้ำยาแอร์ฝังฝ้าเพดานนั้นมีความยุ่งยากมากกว่าแอร์ชนิดอื่น
  4. การบำรุงรักษา
    เช่นเดียวกับแอร์ประเภทอื่น ๆ แอร์แบบคาสเซ็ทควรมีการทำความสะอาดขั้นต่ำปีละ 1-2 ครั้งในกรณีใช้งานตามบ้านพักอาศัย หากใช้งานในร้านค้าหรือสำนักงานที่มีคนเข้าออกพลุกพล่าน ปริมาณฝุ่นละอองและความสกปรกอาจมีมากกว่าที่พักอาศัยทั่วไป จึงควรล้างทำความสะอาดปีละ 3-4 ครั้ง ซึ่งจะช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และประหยัดค่าไฟเนื่องจากไม่มีสิ่งสกปรกไปอุดตัน

บี.กริม เทรดดิ้ง เราเป็นตัวแทนจำหน่าย Carrier แคเรียร์ แอร์คอนดิชั่น ทางเราพร้อมให้ข้อมูลในการติดตั้ง และข้อมูลสินค้าแอร์ทุกชนิดของ แคเรียร์ หรือสามารถดูข้อมูลสินค้าเราได้ที่ หน้าสินค้าได้เลยค่ะ https://bgrimmtechnologies.com/product-category/air-conditioners/

สนใจสอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3242

4 เหตุผลที่โรงแรมของคุณควรลงทุนกับตู้เซฟ

4 reasons to invest electronic safe

4 เหตุผลที่โรงแรมของคุณควรลงทุนกับตู้เซฟ

ในช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนหย่อนใจของเหล่านักท่องเที่ยว คงไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้หมดสนุกอย่างทรัพย์สินส่วนตัวเสียหายหรือถูกขโมย การติดตั้งตู้เซฟและระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมจึงเป็นหนึ่งในเรื่องที่หลายคนให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ในการเลือกจองโรงแรมและห้องพัก ทว่ากลับเป็นสิ่งที่เจ้าของกิจการส่วนใหญ่มักมองข้าม

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันสูงและผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคา สถานที่ และความครบครันของบริการได้อย่างง่ายดายแบบนี้ มาดูกันว่าการมีตู้เซฟจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโรงแรมของคุณได้อย่างไรบ้าง

1. สร้างความแตกต่างให้โรงแรมของคุณ
ในปัจจุบันที่แค่เพียงไม่กี่คลิกก็สามารถเปรียบเทียบสิ่งอำนวยสะดวกและบริการของโรงแรมต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าผู้บริโภคย่อมต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งไม่ได้หมายถึงราคาที่ถูกกว่า แต่คือความคุ้มค่าของบริการที่จะได้รับจากเงินที่ใช้ไป ทั้งด้านความสะดวกสบายและความปลอดภัย หากโรงแรมของคุณมีบริการที่ค่อนข้างครบถ้วน แต่ก็ยังไม่ได้แตกต่างจากโรงแรมอื่นมากนัก การมีตู้เซฟในห้องพักถือเป็นจุดแข็งที่จะสร้างความโดดเด่นและดึงความสนใจให้คนอยากเข้าพักได้

2. เพิ่มความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้กับลูกค้า
นอกเหนือจากความสะดวกสบายในด้านต่างๆ ทั้งสภาพห้อง บริการ และการเดินทาง การเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยด้วยตู้เซฟก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยสร้างความประทับใจให้ลูกค้าอย่างครอบคลุมทุกด้าน ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือและมั่นใจในความปลอดภัยต่อทรัพย์สินส่วนตัว ส่งผลให้เกิดความพึงพอใจและอยากกลับมาใช้บริการในครั้งต่อไป รวมถึงอาจเพิ่มโอกาสการบอกต่อความประทับใจกับเพื่อนฝูงหรือเขียนรีวิวดีๆ บนโซเชียลให้กับโรงแรมของคุณได้

3. สร้างความพึงพอใจในบริการต่อกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการใช้ตู้เซฟ
ลูกค้าที่มาพักในโรงแรมอาจเป็นใครก็ได้ เช่น นักท่องเที่ยวที่มาเป็นครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน นักธุรกิจที่มาสัมมนาหรือคุยงาน ผู้ที่มาทำธุระหรือร่วมงานอีเว้นท์ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน เมื่อถึงเวลาออกไปเที่ยวพักผ่อนข้างนอกก็ไม่มีใครอยากพกของมีค่าให้รุงรังหรือเพิ่มน้ำหนักโดยไม่จำเป็น ครั้นจะวางของไว้ในห้องแต่กลับไม่มีตู้เซฟที่รับประกันความปลอดภัยได้ ก็จะเกิดความกังวล เที่ยวแบบไม่สบายใจ ซึ่งส่งผลต่อความพึงพอใจในบริการและการให้คะแนนบนเว็บไซต์ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าบริการของเราจะตอบโจทย์ความต้องการอย่างครบครันที่สุด การมีตู้เซฟไว้บริการลูกค้ากลุ่มนี้จึงเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การลงทุน

4. ลดปัญหาการลักขโมยหรือความเสียหายต่อทรัพย์สินของลูกค้า
ปัญหาการลักขโมยแล้วเข้าใจผิดว่าพนักงานเป็นผู้กระทำผิดเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ การมีตู้เซฟจะช่วยป้องกันเหตุการณ์เหล่านี้โดยส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย คือเพิ่มความปลอดภัยต่อทรัพย์สินมีค่าของลูกค้า และป้องกันกรณีที่เป็นการเข้าใจผิดต่อพนักงาน เพราะคนส่วนใหญ่เลือกใส่ข้าวของสำคัญในตู้เซฟเพื่อความอุ่นใจ โอกาสที่จะเกิดกรณีแบบนี้ก็จะน้อยลง นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือข้อผิดพลาดระหว่างการทำความสะอาดจนส่งผลให้ข้าวของสำคัญของลูกค้าเสียหายอีกด้วย

ตัวเลือกที่ดีที่สุดไม่จำเป็นต้องราคาถูกที่สุด หากโรงแรมของคุณมีบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการและมีมาตรฐานความปลอดภัยที่ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ ก็ย่อมเพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและส่งมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจได้ไม่ยาก

สุดท้ายนี้ ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อตู้เซฟสำหรับโรงแรมของคุณ อย่าลืมคำนึงถึงระบบความปลอดภัยที่แน่นหนา ใช้งานง่าย และขนาดความจุด้วย เพราะหลายคนอาจต้องการตู้เซฟสำหรับใส่สิ่งของที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เช่น คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก แท็บเล็ต กล้องถ่ายรูป เป็นต้น

หากตัดสินใจไม่ถูกว่าควรเลือกตู้เซฟแบบใดให้เหมาะกับการใช้งานของลูกค้า บี.กริม เทรดดิ้ง ยินดีให้คำแนะนำ เราเป็นตัวแทนจำหน่ายตู้เซฟ Onity ผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบตู้เซฟสำหรับโรงแรมโดยเฉพาะ รับประกันมาตรฐานความปลอดภัยและการใช้งานจริงในโรงแรมทุกระดับ ดูแลตั้งแต่การให้ข้อมูลตู้เซฟแต่ละแบบ วิธีการใช้งาน ไปจนถึงบริการหลังการขาย

ลงทุนกับตู้เซฟโรงแรมอย่างคุ้มค่า เลือกบริการที่วางใจได้กับ Onity ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่

ข้อมูลสินค้าสินค้าเพิ่มเติม 
https://bit.ly/3ujMnhg

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3241

9 วิธีดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศด้วยตัวเอง ยืดอายุการใช้งาน ลดฝุ่นสะสมในเครื่อง

Cover Article air-conditioner-maintenance

9 วิธีดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศด้วยตัวเอง ยืดอายุการใช้งาน ลดฝุ่นสะสมในเครื่อง

เครื่องปรับอากาศ หรือแอร์ ก็เหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ที่มีวันเสื่อมสภาพตามการใช้งาน ยิ่งช่วงไหนอากาศร้อนเปิดแอร์ทั้งวันตัวเครื่องก็ยิ่งต้องทำงานหนัก หากไม่ใส่ใจดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่ตามมาคงหนีไม่พ้นสารพัดปัญหาน่าปวดหัว ทั้งแอร์ไม่เย็น แอร์กินไฟ หรือแอร์น้ำหยด แทนที่จะรอให้ปัญหาเหล่านี้มากวนใจในวันที่ร้อนอบอ้าว บี.กริม เทรดดิ้ง มีเทคนิคดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศง่ายๆ ไม่ง้อช่าง สำหรับเป็นแนวทางในการถนอมและยืดอายุการใช้งาน ช่วยประหยัดค่าไฟไปด้วยในตัว หากใช้คู่กับเครื่องฟอกอากาศยิ่งทำให้คุณภาพอากาศดียิ่งขึ้นไปอีก

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจการทำงานและส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศคร่าวๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าแต่ละส่วนทำงานอย่างไรบ้าง

ระบบการทำงานของเครื่องปรับอากาศส่วนมากประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ ได้แก่

1. ส่วนที่อยู่ภายในอาคาร เรียกว่าชุดคอยล์เย็น หรือแฟนคอยล์ยูนิต (Fan coil unit) มีหน้าที่ส่งอากาศเย็นเข้าสู่ภายในอาคาร ประกอบด้วยคอยล์เย็น ใบพัดลมคอยล์เย็น มอเตอร์พัดลม และแผ่นกรองอากาศ
2. ส่วนที่อยู่ภายนอกอาคาร เรียกว่าชุดคอยล์ร้อน หรือคอนเดนซิ่งยูนิต (Condensing unit) หรือที่มักเรียกกันว่าคอมแอร์ ทำหน้าที่ช่วยระบายความร้อนจากเครื่องปรับอากาศออกสู่ภายนอก ประกอบด้วยคอนเดนเซอร์ คอมเพรสเซอร์ พัดลมคอยล์ร้อน มอเตอร์ และแผงไฟฟ้า

ทั้งสองส่วนนี้เชื่อมต่อกันด้วยท่อทองแดงและสายไฟ โดยชุดคอยล์เย็นจะช่วยดูดซับความร้อนภายในห้องและระบายออกทางชุดคอยล์ร้อน จากนั้นอากาศเย็นที่เกิดจากน้ำยาแอร์ที่ผ่านการลดอุณหภูมิและลดความดันด้วยคอมเพรสเซอร์ก็กลายเป็นลมแอร์เย็นเป่าเข้ามาในห้อง

การเลือกขนาด BTU ของแอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ของห้อง จะช่วยให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่สิ้นเปลืองพลังงาน และประหยัดค่าใช้จ่าย สามารถดูวิธีการเลือก BTU ให้กับห้องของคุณได้ที่ลิ้งค์นี้ค่ะ https://bgrimmtechnologies.com/carrier_btu_aircondition/

เทคนิคดูแลเครื่องปรับอากาศด้วยตัวเอง
ทุกส่วนของเครื่องปรับอากาศล้วนต้องการการดูแลเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ เทคนิคต่อไปนี้เป็นวิธีการดูแลและล้างแอร์บ้านในเบื้องต้นที่ทำได้ด้วยตนเอง เพื่อคงอากาศดีภายในบ้านของคุณในทุกๆ วัน

คำเตือน: เพื่อความปลอดภัยควรปิดสวิตช์หรือดึงเบรกเกอร์ลงทุกครั้งก่อนการถอดทำความสะอาดหรือการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศลักษณะใดก็ตาม ไม่ควรฉีดน้ำเข้าไปยังบริเวณอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในตัวเครื่อง และควรใช้บันใดที่แข็งแรงในการปีนถอดหรือใส่อุปกรณ์ หากไม่มีความชำนาญ แนะนำให้ล้างเฉพาะแผ่นกรองอากาศและพื้นผิวภายนอกเท่านั้น และเรียกใช้บริการช่างแอร์สำหรับล้างส่วนอื่นทุกๆ 6-12 เดือนเพื่อป้องกันความเสียหายของชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าภายใน

1. หมั่นถอดล้างแผ่นกรองอากาศ
แผ่นกรองอากาศหรือฟิลเตอร์แอร์ เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่คอยทำหน้าที่ดักจับฝุ่นละอองในอากาศไม่ให้เข้าไปถึงคอยล์เย็น หากไม่ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอจะเกิดการสะสมอุดตันของฝุ่นและสิ่งสกปรกต่างๆ ส่งผลให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักและไม่เย็นเท่าที่ควร หรืออาจทำให้มีน้ำแข็งเกาะที่คอยล์เย็น และมีน้ำหยดจากตัวเครื่อง

ฟิลเตอร์มีลักษณะเป็นแผ่นตะแกรงที่มักทำจากใยสังเคราะห์และมีโครงเป็นพลาสติก อยู่ใต้บริเวณหน้ากากหรือฝาหน้าของแอร์ โดยเมื่อยกฝาหน้าของเครื่องขึ้นก็จะเจอกับฟิลเตอร์ทันที ทั้งนี้เครื่องปรับอากาศบางรุ่นอาจมีฟิลเตอร์ 2 ชนิด คือฟิลเตอร์แบบหยาบสำหรับกรองฝุ่นขนาดกลาง-ใหญ่ และฟิลเตอร์แบบละเอียดสำหรับกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งแบบหลังจะไม่สามารถถอดออกมาล้างได้และต้องแกะออกจากฟิลเตอร์หยาบก่อนล้างทุกครั้ง การถอดล้างฟิลเตอร์แบบหยาบมีขั้นตอนไม่ซับซ้อน ทำได้ดังนี้

● ถอดฟิลเตอร์ด้วยความระมัดระวังเพื่อป้องกันฝุ่นฟุ้งกระจาย
● ฉีดล้างด้วยน้ำแรงดันปานกลาง และอาจใช้น้ำสบู่พร้อมกับแปรงขนนุ่มขัดเบาๆ เพื่อกำจัดฝุ่น
● ตากให้แห้ง แล้วใส่กลับเข้าตามเดิม

ความถี่ในการถอดล้างฟิลเตอร์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของฟิลเตอร์ ความถี่ในการเปิดใช้งาน หรือสภาพแวดล้อมทั้งในและนอกบ้าน โดยหากเป็นห้องที่อยู่ติดถนนหรือภายในบ้านมีฝุ่นเยอะ ควรถอดฟิลเตอร์ออกมาล้างอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง แต่หากฝุ่นไม่เยอะหรือไม่ได้ใช้งานบ่อยอาจถอดล้าง 3-4 ครั้งต่อปี

2. ทำความสะอาดแผงคอยล์เย็น
แผงคอยล์เย็น มีลักษณะเป็นท่อที่ขดไปมาตามความยาวของเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแผ่นครีบอะลูมิเนียมบางๆ เป็นซี่ถี่ ทำหน้าที่เป็นตัวสร้างความเย็น โดยภายในจะมีสารทำความเย็นไหลเวียนอยู่ ทำงานร่วมกับพัดลมในการรับและส่งลมเย็นเข้าสู่ห้อง

เมื่อถอดหน้ากากของเครื่องออกจะเห็นแผงคอยล์เย็นได้ทันที บางรุ่นอาจอยู่บริเวณใต้ฟิลเตอร์ และจะสังเกตได้ถึงฝุ่นผงขนาดเล็กที่สามารถลอดผ่านฟิลเตอร์เข้ามา ซึ่งเมื่อนานไปจะจับตัวหนาขึ้นจนอากาศไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ทำให้ประสิทธิภาพของระบบทำความเย็นลดลงได้เช่นเดียวกับปัญหาฟิลเตอร์ตัน

ขั้นตอนการทำความสะอาดแผงคอยล์เย็นมีดังต่อไปนี้

● ใช้แปรงสีฟันลากตามแนวของแผ่นครีบอะลูมิเนียมจนทั่วเพื่อกำจัดฝุ่นที่เกาะอยู่
● จากนั้นใช้น้ำฉีดหรือราดเบาๆ เพื่อให้ฝุ่นออกไปตามน้ำ และต้องระวังไม่ให้น้ำกระเซ็นเปียกส่วนด้านในที่เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าของเครื่อง
● หากฝุ่นเกาะตัวเหนียวจนไม่สามารถล้างด้วยน้ำได้ ควรใช้สเปรย์โฟมล้างแอร์สำหรับแผงคอยล์เย็นเพื่อช่วยขจัดคราบให้หลุดได้ง่ายขึ้น โดยฉีดให้ทั่วบริเวณแล้วรอจนแห้ง แล้วฉีดน้ำล้างออก ซึ่งน้ำที่ฉีดล้างจะไหลลงถาดรองรับน้ำทิ้งของเครื่องปรับอากาศไปเอง
● หากครีบอะลูมิเนียมงอหรือโค้งจนปิดกั้นจนลมแอร์ออกมาไม่สะดวกอาจใช้หวีคอยล์ค่อยๆ แปรงดัดให้กลับมาตรงดังเดิม แต่ควรทำอย่างระมัดระวังเพราะบริเวณนี้มีความคม อาจทำให้บาดมือได้

ทั้งนี้ สเปรย์โฟมที่ใช้ต้องเป็นน้ำยาทำความสะอาดที่ระบุให้ใช้กับแผงคอยล์เย็นได้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีสารตกค้างที่เป็นอันตรายและไม่ทำความเสียหายต่อส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ

3. กำจัดฝุ่นบริเวณใบพัดลมคอยล์เย็น
ใบพัดลมคอยล์เย็นหรือ โบลเวอร์ คือบริเวณที่มีลมเย็นออกมา มีลักษณะเป็นช่องๆ เรียงตัวตามแนวยาว ทำหน้าที่ช่วยให้เกิดการไหลเวียนของลม บริเวณนี้มักจะมีฝุ่นผงมาเกาะตัว ส่งผลให้ร่องดักลมของใบพัดอุดตัน ส่งลมเย็นออกไปได้น้อยลง ทำให้ต้องใช้เวลานานขึ้นในการทำความเย็น และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เครื่องปรับอากาศกินไฟมากขึ้น นอกจากนี้ฝุ่นหนาที่จับตัวอาจทำให้ใบพัดมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นและเสียสมดุลจนเกิดเสียงดังขณะเครื่องทำงานได้

● ในเครื่องปรับอากาศบางรุ่นอาจมีแผงกันใบพัดคอยล์เย็น ให้ถอดส่วนนี้ออกก่อน
● ใช้น้ำฉีดชำระฝุ่นบริเวณใบพัดลมคอยล์เย็น
● อาจตามด้วยสเปรย์ล้างแอร์สำหรับใบพัดคอยล์เย็น รอให้โฟมแห้ง แล้วจึงฉีดน้ำล้างอีกที
● น้ำที่ล้างบริเวณนี้จะไหลออกมาจากเครื่องปรับอากาศ เพื่อไม่ให้เลอะเทอะควรใช้ถุงล้างแอร์ครอบบริเวณด้านใต้เพื่อรองรับน้ำที่ล้างด้วย

4. ล้างถาดรองรับน้ำทิ้งและตรวจสอบท่อน้ำทิ้ง
นอกจากแผงคอยล์เย็นและใบพัดลมคอยล์เย็น ถาดรองรับน้ำและท่อน้ำทิ้งก็เป็นอีกส่วนที่ควรได้รับการดูแลไปพร้อมกัน เพราะเป็นบริเวณที่น้ำที่เกิดจากการกลั่นตัวของไอน้ำไหลไปรวมกัน ซึ่งนานวันอาจเกิดเป็นเมือกและเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพของคนในบ้านได้

วิธีการทำความสะอาดถาดรองรับน้ำสามารถใช้แปรงขนแข็งขัดถูหรือจะถอดออกมาล้างแล้วค่อยใส่กลับเข้าไปตามเดิมก็ได้ ส่วนการทำความสะอาดท่อน้ำทิ้งอาจใช้เครื่องเป่าลมหรือใช้น้ำที่มีแรงดันฉีดเข้าไปภายในท่อ แต่จะทำได้เมื่อมั่นใจว่าไม่มีรอยรั่วตามท่อเท่านั้น และควรตรวจดูว่าท่อมีความโค้งงอซึ่งอาจเป็นจุดสะสมของน้ำหรือสิ่งสกปรกหรือไม่

5. หมั่นเช็ดทำความสะอาดบริเวณโครงเครื่อง หน้ากากรับลม และหน้ากากจ่ายลม
ตัวเครื่องปรับอากาศบริเวณที่เป็นโครงสร้างหรือพื้นผิวภายนอกนั้นควรมีการทำความสะอาดหรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดถูเป็นประจำ หรือจะถอดออกมาล้างก็ได้

6. ดูแลบริเวณชุดคอยล์ร้อนอย่าให้มีสิ่งกีดขวาง
ไม่ใช่แค่ชุดคอยล์เย็นเท่านั้นที่ต้องหมั่นดูแล ชุดคอยล์ร้อนที่อยู่บริเวณนอกบ้านเป็นอีกส่วนที่ไม่ควรละเลยเช่นกัน เพราะฝุ่นและสิ่งสกปรกต่างๆ อาจเข้าไปอุดตันหรือขัดขวางช่องทางระบายลมร้อนและส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ทำให้เย็นน้อยลงหรือกินไฟมากกว่าปกติ

สำหรับการดูแลชุดคอยล์ร้อนนั้นควรดูให้พื้นที่โดยรอบสะอาด ไม่มีเศษใบไม้ ขยะ หรือสิ่งกีดขวางทางระบายลมของเครื่อง และสามารถกำจัดฝุ่นที่สะสมตามชุดคอยล์ร้อนด้วยตนเองเบื้องต้นโดยใช้น้ำฉีดล้างตามแนวด้านข้างและด้านหลังในทิศทางเฉียงไปทางพื้น โดยไม่ต้องถอดฝาเครื่อง และห้ามฉีดไปยังภายในบริเวณตัวเครื่องโดยตรงเพราะอาจเปียกแผงไฟฟ้าและเกิดความเสียหายได้

7. เปิดใช้งานเครื่องปรับอากาศเป็นระยะ
แม้จะเป็นช่วงฤดูหนาวที่อากาศไม่ร้อนหรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน ก็ควรคอยเปิดใช้งานเป็นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเครื่องยังทำงานเป็นปกติ และเพื่อป้องกันแมลงหรือสัตว์เล็กเข้าไปทำรัง ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของเครื่องและนำมาซึ่งกลิ่นอับหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้

8. ลดภาระของเครื่องปรับอากาศให้มากที่สุด
ระหว่างเปิดใช้งานควรตรวจสอบหน้าต่างและประตูให้ปิดสนิท และไม่ควรใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานความร้อนซึ่งจะส่งผลให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิห้อง เช่น ไมเครเวฟ เตาอบ หม้อหุงข้าว เป็นต้น

9. ตรวจสอบโหมดการตั้งค่าของรีโมท
การตั้งค่าโหมดการทำงานให้เหมาะสมกับอากาศและการใช้งานมีส่วนช่วยถนอมการใช้งานเครื่องปรับอากาศและช่วยประหยัดค่าไฟได้ อาจตั้งโหมดประหยัดพลังงานหรือตั้งเวลาเปิดปิดอัตโนมัติในทุกๆ วัน เพื่อจำกัดช่วงเวลาในการใช้ นอกจากนี้ควรตรวจสอบการทำงานของรีโมทโดยสังเกตจากหน้าจอแสดงผล และควรเก็บให้ห่างจากเด็กและสัตว์เลี้ยงเพื่อป้องกันการตั้งค่าที่คลาดเคลื่อน หรือหากไม่ได้ใช้รีโมทเป็นเวลานานก็ควรถอดถ่านออก

การดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศเป็นประจำนั้น นอกจากจะช่วยลดการใช้กระแสไฟฟ้าแล้ว ยังส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพอากาศที่ดีภายในบ้าน ให้คุณสูดอากาศสดชื่น ไร้กลิ่นอับ นอนหลับสบายยิ่งขึ้น แถมลดการเกิดภูมิแพ้ได้อีกด้วย

รู้วิธีบำรุงรักษาด้วยตัวเองแบบนี้แล้ว ก็อย่าลืมตรวจล้างแอร์เป็นประจำทุกปีโดยช่างเทคนิคด้วย เพราะยังมีอีกหลายขั้นตอนที่ต้องอาศัยความชำนาญ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง และการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดต่อตัวเครื่อง

ให้แอร์ที่ดีที่สุดของเรา เป็นแอร์ที่ดีที่สุดของคุณ วางใจเมื่อซื้อแอร์แคเรียร์ (Carrier) ที่ บี.กริม เทรดดิ้ง เราพร้อมจำหน่ายสินค้าแอร์ทุกชนิดเช่น เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน(Split Type Air Conditioners) เครื่องเป่าลมเย็น และเครื่องส่งลมเย็น (Fan Coil Units (FCU) and Air Handling Units (AHU)) และเครื่องทำน้ำเย็น(Chillers) พร้อมรับบริการซ่อมแซม ตรวจเช็กสภาพ และบริการอื่นๆอย่างครบวงจรจากผู้เชี่ยวชาญของเราได้ทุกเมื่อ

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3242

ขั้นตอนในการตรวจสอบเครื่องสูบน้ำดับเพลิงอย่างง่าย

cover-article firepump checklist

การตรวจสอบเครื่องสูบน้ำดับเพลิงอย่างง่าย

การตรวจสอบเครื่องสูบน้ำดับเพลิงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ต้องมีความพร้อมในการใช้งาน ต้องทำงานได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากที่สุด การตรวจสอบหรือทดสอบเครื่อง มี 4 รูปแบบ

  • ตรวจทุกวัน
  • ตรวจทุกสัปดาห์
  • ตรวจทุก 6 เดือน
  • ตรวจทุก 1 ปี

ตรวจทุกวัน

  • ดูแลระบบทั่วๆไป อยู่ในสภาพปกติ
  • ดูมาตรวัดแรงดันน้ำในระบบ
  • ดูเครื่องบันทึกแรงดันน้ำในระบบ
  • ดูระบบไฟฟ้า กระแสและแรงดัน
  • ไฟฟ้าที่ตู้ควบคุมและที่เครื่องยนต์

ตรวจทุกสัปดาห์

  • ระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่
  • สายไฟต่างๆตรึงแน่น
  • ตรวจระดับน้ำมันเครื่องและกรองน้ำมันเครื่อง
  • ตรวจระดับน้ำมันเชื้อเพลิง
  • ตรวจระบบหล่อเย็นเครื่อง

ตรวจทุก 6 เดือน

  • ตรวจระบบท่อจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง
  • ตรวจกรองอากาศ
  • ตรวจสายพานขับ
  • ตรวจชุดควบคุมความเร็วรอบ
  • ตรวจระบบท่อระบายไอเสีย
  • ตรวจชุดชาร์จแบตเตอรี่
  • ตรวจสวิตช์คันโยกมือ
  • ตรวจแผงควบคุมเครื่อง
  • ทุกรายการของการตรวจทุกสัปดาห์

ตรวจทุก 1 ปี

  • เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและกรองอากาศน้ำมันเครื่อง
  • เปลี่ยนกรองอากาศ
  • เปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิง
  • ทุกรายการของการตรวจทุก 6 เดือน
การดูแลรักษาเครื่องยนต์
การตรวจเช็คทั่วไป
  1. ตรวจสอบระดับน้ำและทำความสะอาดระบบระบายความร้อน
  2. เปลี่ยนท่อยางต่าง ๆ เท่าที่จำเป็น
  3. ตรวจทำความสะอาดขั้วไฟฟ้าต่าง ๆ และขั่วแบตเตอรี่
  4. ตรวจดูระบบท่อไอเสีย
  5. ตรวจดูสกรูยึดแท่นเครื่องต่าง ๆ
  6. ตรวจเช็คระยะกันรุนของข้อเหวี่ยง
  7. ตรวจดูระบบไดชาร์จ
  8. ตรวจดูระบบมอเตอร์สตาร์ทและเยนเนอเรเตอร์
  9. ควรตรวจเช็คตามมาตรฐานของผู้ผลิต

หมายเหตุ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องควรจะเปลี่ยนหลังจากใช้งาน 50 ชั่วโมงแรก แล้วจึงเริ่มนับเวลาใหม่

ข้อแนะนำในการใช้แบตเตอรี่

  1. แบตเตอรี่ต้องติดตั้งอย่างแน่นหนาในที่สำหรับติดตั้ง
  2. สายไฟสำหรับต่อระหว่างขั้ว ควรจะติดให้แน่นและยาวพอสมควร เพื่อป้องกันการลัดวงจร
  3. การขันขั้วแบตเตอรี่ควรใช้กุญแจปากตายอย่าใช้วิธีปิดกับขั้ว เพราะจะทำให้ขั้วชำรุด
  4. รักษาแบตเตอรี่ให้สะอาด โดยเฉพาะที่ระบายอากาศของฝาเติมน้ำ อย่าให้มีผงฝุ่นอุดตัน
  5. รักษาแบตเตอรี่ส่วนบนให้สะอาดอยู่เสมอ ถ้าขั้วสกปรกหรือมีคราบขาวเกาะให้ล้างด้วยน้ำร้อนและทาวาสลินที่ขั้ว
  6. ถ้าสตาร์ทติดยาก หรือวัด ถพ. ได้ต่ำกว่า 1,200 แสดงว่าไฟไม่พอ ให้นำแบตเตอรี่ไปชาร์จไฟจนกว่าจะเต็ม
  7. ถ้าเก็บแบตเตอรี่ไว้โดยไม่ได้ใช้ หรือใช้ไม่สม่ำเสมอควรนำมาชาร์จไฟอย่างน้อยเดือน ละครั้ง
  8. ในกรณีที่แบตเตอรี่ไฟหมด โปรดนำไปตรวจที่ร้านผู้แทนจำหน่ายแบตเตอรี่ไม่ควรเทน้ำกรดทิ้งแล้วเติมน้ำกรดใหม่ เพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสียหายได้

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3211

เบรกเกอร์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ ลูกย่อยไฟฟ้า คืออะไร

article circuit breaker siemens

เบรกเกอร์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ ลูกย่อยไฟฟ้า คืออะไร

เบรกเกอร์ (Circuit Breaker) คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าในการตัดวงจรไฟฟ้าแบบอัตโนมัติเมื่อเกิดความผิดปกติในระบบไฟฟ้า เพื่อป้องกันวงจรไฟฟ้าเกิดความเสียหาย จากกระแสไฟฟ้าเกินโหลดเกิน(ใช้ไฟมากเกิน) หรือไฟฟ้าลัดวงจร เบรกเกอร์แต่ละประเภทมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้งานคล้ายๆกับฟิวส์(Fuse) แตกต่างกันตรงที่เบรกเกอร์เมื่อมีการตัดวงจรแล้วสามารถสับสวิตซ์เพื่อใช้งานต่อได้ทันที

เบรกเกอร์มีหลายประเภท ทั้งเบรกเกอร์ขนาดเล็กที่ใช้ป้องกันสำหรับวงจรที่มีกระแสไฟฟ้าต่ำ เช่นเครื่องใช้ไฟฟ้า จนถึงสวิตช์ขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันวงจรไฟฟ้าแรงสูงที่จ่ายไฟให้ตัวเมือง

ประเภทของเซอร์กิตเบรกเกอร์
มี 3 ประเภทคือ 1.เบรกเกอร์แรงดันไฟฟ้าต่ำ(Low Voltage Circuit Breaker) 2.เบรกเกอร์แรงดันไฟฟ้ากลาง(Medium voltage Circuit breaker)และ เบรกเกอร์แรงดันไฟฟ้าสูง(High voltage circuit breaker) เบรกเกอร์ที่นิยมใช้กันคือ Low Voltage Circuit Breaker เบรกเกอร์กลุ่มนี้คือ MCB, MCCB และ ACB จะมีลักษณะที่แตกต่างกันตามการออกแบบ ทั้งขนาด รูปร่างที่ถูกออกแบบมา ให้เข้ากับการใช้งานหลากหลายประเภท

เซอร์กิตเบรกเกอร์แรงดันไฟฟ้าต่ำ(Low Voltage Circuit Breakers) นิยมติดตั้งในตู้คอนซูมเมอร์ยูนิทและตู้โหลดเซ็นเตอร์ ตัวอย่างเบรกเกอร์แรงดันไฟฟ้าต่ำ มีดังนี้ MCB, RCDs, MCCB และ ACB โดยในบ้านพักอาศัยจะใช้ประเภทMCBมากที่สุด

MCB (Miniature Circuit Breakers) หรือเบรกเกอร์ ลูกย่อย มีขนาดเล็ก ใช้ในบ้านพักอาศัยที่มีการแสการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน100A วิธีการติดตั้งมี2แบบคือ Din-rail(ใช้เครื่องมือช่างทั่วๆไปในการประกอบ) และ Plug-on(ติดตั้งง่ายแค่ดันตัวเบรคเกอร์เข้ากรอบที่เตรียมไว้) ขนาดที่ใช้มีแบบ 1,2,3,4 Pole(แกนสลับขึ้นลง) ใช้ได้ทั้งกระแสไฟฟ้าแบบ1เฟส และ 3เฟส การใช้งานจะติดตั้งใน ตู้โหลดเซ็นเตอร์ หรือ ตู้ไฟฟ้า (Consumer unit)

RCDs (Residual Current Devices) คืออุปกรณ์เซฟตี้ที่ใช้สำหรับตัด/ป้องกันกันไฟรั่ว ไฟดูด มี 3 ประเภทตามความต้องการใช้งาน ได้แก่ RCBO(ป้องกันไฟดูดช๊อต), RCCB(ตัดไฟเมื่อเกิดการรั่วไหลของกระแส), ELCB(ป้องกันไฟดูด มักใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้า มีปุ่มเทส)

         

MCCB (Moulded Case Circuit Breakers) คือเบรกเกอร์ที่ใช้ในการเปิด-ปิดวงจรไฟฟ้า รวมถึงตัดกระแสไฟฟ้าเมื่อมีไฟรั่วหรือลัดวงจร ใช้กับกระแสไฟตั้งแต่100-2,300A แรงดันไม่เกิน1,000โวลต์ นิยมใช้ในตู้ไฟฟ้า Local panel ในอาคารขนาดใหญ

ACB(Air Circuit Breakers) เป็นเบรกเกอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในหมวดLow Voltage ทนกระแสไฟฟ้าได้สูงสุดถึง6,300A สามารถเพิ่มอุปกรณ์เสริมต่างๆเข้าไปได้ตามความต้องการ นิยมใช้งานเป็นเมนเบรกเกอร์ในโรงงาน ต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง

เซอร์กิตเบรกเกอร์แรงดันไฟฟ้าปานกลาง : Medium Voltage Circuit Breakers
จะประกอบเข้าไปในตู้เหล็กสวิตช์ขนาดใหญ่ (metal-enclosed switchgear lineups) สำหรับใช้ในอาคาร หรืออาจใช้เป็นชิ้นส่วนติดตั้งภายนอกในสถานีย่อย เช่น แอร์เซอร์กิตเบรกเกอร์ (ACB) ที่มีการอัดน้ำมันเข้าไปให้ทำงาน สำหรับใช้งานภายนอกอาคาร แต่ปัจจุบันหันมาใช้เบรคเกอร์สูญญากาศ (Vacuum Circuit Breakers) แทน มีแรงดันไฟฟ้าประมาณ 40.5 กิโลโวลต์ เบรกเกอร์เหล่านี้ทำงานโดยรีเลย์ตรวจจับกระแสไฟฟ้าที่ทำงานผ่านหม้อแปลงกระแสไฟฟ้า ลักษณะของเบรกเกอร์แรงดันไฟปานกลางได้การรับรองจากมาตรฐาน IEC 62271 และเบรกเกอร์ชนิดนี้มักใช้เซ็นเซอร์กระแสสลับและรีเลย์ป้องกันแทนการใช้เซ็นเซอร์วัดความร้อนหรือแม่เหล็กในตัว

เซอร์กิตเบรกเกอร์แรงดันไฟฟ้าสูง : High Voltage Circuit Breakers
เครือข่ายการส่งกำลังไฟฟ้ามีการป้องกันและควบคุมโดยเซอร์กิตเบรกเกอร์แรงดันไฟฟ้าสูง ความหมายของ “แรงดันไฟฟ้าสูง” อาจมีความแตกต่างกันไป แต่ในงานส่งกำลังจะมีขนาดแรงดันไฟ 72.5 kV หรือสูงกว่า (ตามคำจำกัดความล่าสุดของ IEC) เซอร์กิตเบรกเกอร์แรงดันไฟสูงจะทำงานด้วยขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีรีเลย์ตรวจจับกระแสไฟที่ทำงานผ่านหม้อแปลงกระแสไฟฟ้าอีกที ในส่วนของชุดรีเลย์ป้องกันที่ซับซ้อนนั้น ช่วยป้องกันอุปกรณ์จากโหลดเกินหรือไฟรั่วลงดินได้

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3232

ประเภทของระบบขับเคลื่อน เครื่องสูบน้ำดับเพลิง

cover article driver firepump

ระบบขับเคลื่อนเครื่องสูบน้ำดับเพลิง จะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ

  1.  ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า สำหรับเครื่องสูบน้ำดับเพลิงที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า จะต้องใช้กำลังไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟที่เชื่อถือได้ เช่นจ่ายโดยตรงจากหม้อแปลงไฟฟ้า หรือเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
  2. ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล สำหรับเครื่องสูบน้ำดับเพลิงที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลนั้นจะสามารถแยกได้ 2 แบบ
    2.1 ระบบ Heat Exchanger Cooled คือ ระบบหล่อเย็นด้วยน้ำ โดยใช้เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน
    2.2 ระบบ Radiator Cooled คือ ระบบหล่อเย็นด้วยน้ำ โดยใช้รังผึ้งระบายความร้อนด้วยพัดลมจากเครื่องยนต์

Fire Pump (ปั๊มน้ำดับเพลิง) ปั๊มน้ำ คือ อุปกรณ์ที่ช่วยส่งผ่านพลังงาน จากแหล่งต้นกำเนิดไปยังของเหลว ก๊าซ หรือ ของเหลวที่มีของแข็งเป็นส่วนประกอบ (Slurries) เพื่อทำให้ของเหลวเคลื่อนที่จากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่งที่อยู่สูงกว่าหรือ ในระยะทางที่ไกลออกไป โดยการเพิ่มพลังงานเข้าไปในระบบ ปั๊มน้ำดับเพลิง (Fire Pump) เป็นส่วนหนึ่งของระบบน้ำดับเพลิงแบบสปริงเกอร์ (Fire Sprinkler)หรือระบบ Fire Hose ที่จะทำหน้าที่ป้อนน้ำเข้าสู่ระบบด้วยปริมาณและแรงดันที่เพียงพอต่อการทำงานของระบบดับเพลิง(Fire pump system) ที่ออกแบบไว้

ระบบปั๊มน้ำดับเพลิง (Fire pump system) ประกอบด้วย
• เครื่องสูบน้ำรักษาแรงดัน (Jockey Pump)
• เครื่องสูบน้ำดับเพลิง (Fire Pump)
• ตู้ควบคุมเครื่องสูบน้ำรักษาแรงดัน (Jockey Pump Controller)
• ตู้ควบคุมเครื่องสูบน้ำดับเพลิง (Fire Pump Controller)
• Pressure Relief Valve

ขนาดของเครื่องสูบน้ำดับเพลิง (Fire Pump)
ตามมาตรฐานสากลนั้น มีการกำหนดขนาดของเครื่องสูบน้ำดับเพลิงได้อย่างชัดเจน ซึ่งในการเลือกใช้จะต้องเลือกให้อยู่ในขนาดที่ระบุไว้ตามตาราง

ลิตร/นาที (แกลลอน/นาที)ลิตร/นาที (แกลลอน/นาที)ลิตร/นาที (แกลลอน/นาที)
1.   95 (25)8.   1,514 (400)15.   7,570 (2,000)
2.   189 (50)9.   1,703 (450)16.   9,462 (2,500)
3.   379 (100)10.   1,892 (500)17.   11,355 (3,000)
4.   568 (150)11.   2,839 (750)18.   13,247 (3,500)
5.   757 (200)12.   3,785 (1,000)19.   15,140 (4,000)
6.   946 (250)13.   4,731 (1,250)20.   17,032 (4,500)
7.   1,136 (300)14.   5,677 (1,500)21.   18,925 (5,000)

ระบบเครื่องสูบน้ำดับเพลิงได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานโดยอัตโนมัติ โดยจะรักษาความดันน้ำภายในท่อให้พร้อมที่จะใช้งานได้ตลอดเวลา โดยจะตั้ง ระดับความดันที่สวิทช์ความดัน (Pressure Switch) ไว้ 3 ระดับ สมมุติเช่น
– ระดับความดันที่ 1 (100 Psi.) จะทำให้ Jockey Pump ทำงาน
– ระดับความดันที่ 2 (120 Psi.) จะทำให้ Jockey Pump หยุดทำงาน (เป็นระดับความดันภายในท่อปกติ)
– ระดับความดันที่ 3 (80 Psi.) จะทำให้ Fire Pump ทำงาน

ในภาวะปกติถ้าความดันของน้ำภายในท่อลดลงต่ำกว่าที่ตั้งเอาไว้ที่สวิตช์ความดันระดับที่1 เช่น ระบบท่อมีการรั่วซึมเล็กน้อย จะทำให้เครื่องสูบน้ำ JOCKEY PUMP ทำงานจนกระทั่งภายในท่อมีความดันตามที่กำหนด (ระดับความดันที่ 2) จึงจะหยุดทำงาน
ถ้ามีการดึงสายฉีดน้ำดับเพลิงออกมาใช้งานจะทำให้เกิดความดันลดลงอย่างรวดเร็ว Jockey Pump ก็จะทำงาน แต่ทำงานแล้วยังไม่สามารถ ควบคุมความดันไว้ให้สูงกว่าระดับความดันที่ 3 ฉะนั้นเมื่อความดันน้ำในท่อลดลงมาถึงระดับความดันที่ 3 เครื่องสูบน้ำ Fire Pump ก็จะทำงานทันที
เมื่อหยุดใช้สายฉีดน้ำดับเพลิงแล้ว ความดันในท่อจะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับความดันที่ 2 Jockey Pump ก็จะหยุดทำงาน แต่เครื่องสูบน้ำ Fire Pump จะไม่หยุดทำงาน จะต้องมีคนไปปิดสวิทช์หยุดการทำงานของ Fire Pump ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะถ้าให้เครื่องสูบน้ำ Fire Pump หยุดทำงานอัตโนมัติ อาจเกิดปัญหาเมื่อเครื่องยนต์หยุดการทำงานเองขณะที่มีเหตุเพลิงไหม้ได้ ฉะนั้นตามมาตรฐาน NFPA 20 จึงแนะนำให้การทำงานของระบบ Fire Pump เป็นแบบเริ่มทำงานแบบอัตโนมัติและหยุดการทำงานด้วยมือ

สำหรับระบบการป้องกันของเครื่องยนต์โดยให้หยุดการทำงาน มีกรณีเดียว คือความเร็วรอบเกิน (Over Speed) เพราะจะเป็นเหตุทำให้เกิดความเสียหายกับปั๊มน้ำ หรือทำให้ความดันน้ำในท่อมากเกินไปซึ่งอาจทำให้เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ต่างๆในระบบท่อ แต่ในการติดตั้งระบบดับเพลิงก็จะมีการติดตั้ง Pressure Relife Valve ซึ่งเป็นอุปกรณ์ระบายน้ำ เมื่อมีความดันน้ำในท่อมากเกินความต้องการของระบบ

สำหรับการป้องกันเครื่องสูบน้ำดับเพลิงในกรณีอื่น ได้แก่
– ระดับแรงดันน้ำมันเครื่องต่ำกว่าปกติ
– อุณหภูมิของเครื่องยนต์สูงเกินปกติ ,
– ไม่มีไฟ 220 โวลท์ AC. เข้ามาจ่ายเข้าตู้ควบคุม
– แบตเตอรี่ชุดที่ 1 หรือชุดที่ 2 เสื่อม
เมื่อเกิดเหตุกรณีดังกล่าวขึ้น ก็จะมีเสียงกระดิ่งเตือน และสัญญาณไฟโชว์ที่หน้าตู้ แต่เครื่องยนต์จะไม่ดับต้องให้คนมาเป็นคนดับเครื่องเองเท่านั้น

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3211

ใหม่!! เครื่องฟอกอากาศ Carrier One มาพร้อมแสง UV ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้มากถึง 99.99%

cover article air purifier

ใหม่!! Air purifier เครื่องฟอกอากาศแคเรียร์ อากาศสะอาดยิ่งขึ้นกับฟังค์ชันใหม่ที่มาพร้อม แสง UV ช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้มากถึง 99.99%

จากงานวิจัยที่แพร่หลายได้พิสูจน์แล้วว่า UV ทำงานได้ดีเท่าๆกับระบบใหญ่ Longlife และหลอดไฟ UVC ที่ใช้ฆ่าเชื้อโรคจะมีการเคลือบสารพิเศษที่รักษาความเข้มข้นของมันไว้ได้ เราได้ทำการปรับแต่งการใช้งานของ uv เพื่อให้ถึงจุดที่ผลึกหลอดไฟมีมาตรฐานยิ่งขึ้น เพื่อให้เครื่องฟอกอากาศสามารถทำงานได้นานถึง 10,000 ชั่วโมง การฆ่าเชื้อโรคจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเมื่อ ฟอกอากาศใช้งานร่วมกับแสง UV อัตราการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสมากถึง 99.99% ได้รับรอง โดยการทดสอบจาก Third party

มีการออกแบบตัวเครื่องที่สวยงาม เรียบหรูมีสไตล์ซึ่งภายในตัวเครื่องมีแผ่นกรองฝุ่น HEPA Filter ดักจับฝั่นละอองต่างๆ ทีมีขนาดเล็กและแผ่น Activated Carbon Filter กรองกลิ่น เพื่อประสิทธิภาพในการดักจับกลิ่นไม่พึงประสงค์ พร้อมระบบทำงานแบบ IONIZER ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบพลาสม่าคลัสเตอร์ มีการพ่นอนุภาคไฟฟ้าบวกและลบ ทำให้ห้องสะอาดปราศากเชื้อโรคต่างๆ อย่างรวดเร็วเป็นการทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่น เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุดสำหรับคุณและทุกคนในครอบครัว

ข้อมูลสินค้าสินค้าเพิ่มเติม https://bgrimmtechnologies.com/product/airone/

สอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://bgrimmtechnologies.com/contact-us/
อีเมล: [email protected]
เบอร์โทรศัพท์ : +66 (0) 2710 3242

การคำนวณ BTU ก่อนเลือกซื้อแอร์

Cover article check BTU

คำนวน BTU ก่อนเลือกซื้อแอร์

ทำไมต้องเลือก BTU แอร์ ให้พอเหมาะกับขนาดของห้อง

• ถ้าเลือก BTU สูงไป คอมเพรสเซอร์จะตัดบ่อยเกินไป ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานน้อยลง ความชื้นในห้องสูงทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและราคาสูงเกินความจำเป็น
• ถ้าเลือก BTU ต่ำไป คอมเพรสเซอร์จะทำงานหนัก เพราะความเย็นห้องไม่ได้ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงาน ส่งผลให้อายุการใช้งานของแอร์สั้นลง ทำให้มีโอกาสเสียเร็วขึ้น รวมถึงทางแบรนด์ผู้ผลิต โรงงาน ศูนย์บริการ ในฐานะเจ้าของผลิตภัณฑ์อาจจะไม่ได้รับประกันในตัวสินค้า กรณีตัวสินค้ามีปัญหา เนื่องจากการใช้งานผิดสเป็ค ผิดประเภท หรือผิดขนาด

 

การเลือกขนาด BTU ของแอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ของห้อง จะช่วยให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่สิ้นเปลืองพลังงาน และประหยัดค่าใช้จ่าย

รายละเอียดและปัจจัยต่างๆที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม

  1. ขนาดห้องของหน้าต่างและมุมต่างๆของห้อง
  2. ทิศทางของห้องนั้นๆว่าโดนแดดมากน้อยเพียงใด
  3. วัสดุหลังและคามีฉนวนกันความร้อนภายในบ้านหรือไม่
  4. จำนวนบุคคนที่ใช้งานในห้องนั้นๆ

วิธีตรวจเช็ค อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน เมื่อผ่านอายุการใช้งานมานาน

Cover check electrical equipment on your home

วิธีตรวจเช็ค อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน เมื่อผ่านอายุการใช้งานมานาน

การตรวจรักษาระบบไฟฟ้าในบ้าน อาจจะฟังดูยากสำหรับใครหลายๆคน แต่หัวขี้อนี้เราจะมาอธิบายพื้นฐานเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าที่คนทั่วไปสามารถตรวจสอบเองได้ เมื่อเจอปัญหาเล็กๆสามารถตรวจดูพื้นฐานได้เองค่ะ ระบบไฟฟ้าถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอีกหนึ่งอย่าง เนื่องจากหลายครอบครัวมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อเป็นการป้องกันสิ่งที่ไม่คาดคิดให้กับคนที่คุณรัก

มิเตอร์ไฟฟ้า

วิธีการตรวจสอบคือต้องปิดสวิตซ์ไฟภายในบ้านทุกจุด ถอดปลั๊กอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าออกให้หมด และดูที่มิเตอร์หน้าบ้านว่าเฟืองเหล็กหมุนอยู่หรือไม่ เพราะหากยังหมุนอยู่แสดงว่ามีกระแสไฟรั่ว ให้ลองตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่น ๆ เช่น เครื่องตัดไฟรั่วว่ายังทำงานดีอยู่หรือไม่ ด้วยการกดปุ่มทดสอบ ซึ่งถ้ายังใช้งานได้ดี สวิตช์หรือคันโยกจะตกลงมาทันที เพื่อตัดกระแสไฟฟ้า แต่ถ้าเครื่องตัดไฟรั่วไม่ทำงาน ก็ต้องเรียกช่างมาแก้ไข

ตรวจสอบเมนสวิตช์

คัตเอ๊าต์และเบรกเกอร์ยังสามารถใช้ปลดวงจรไฟฟ้าได้หรือไม่ หากมีอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเสียก็ควรเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อย

สวิตช์ตัดตอนชนิดคัดเอาท์

  • ตัวคัทเอาท์และฝาครอบต้องไม่แตก
  • ใส่ฟิวส์ให้ถูกขนาดและมีฝาครอบปิดให้มิดชิด
  • ห้ามใช้วัสดุอื่นใส่แทนฟิวส์
  • ขั้วต่อสายที่คัทเอาท์ต้องแน่นและใช้ขนาดสายให้ถูกต้อง
  • ใบมีดของตัทเอาท์เมื่อสับใช้งานต้องแน่น

เบรกเกอร์

  • ตรวจสอบฝาครอบเบรคเกอร์ต้องไม่แตกร้าว
  • ต้องมีฝาครอบปิดเบรคเกอร์ให้มิดชิด
  • ต้องติดตั้งในที่แห้งไม่เปียกชื้นและห่างไกลจากสารเคมีสารไวไฟต่าง ๆ
  • เลือกเบรคเกอร์ที่มีขนาดเหมาะสมกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า

ตรวจสอบสายไฟว่ามีส่วนที่ชำรุดหรือไม่

สายไฟหากไม่ได้ใส่ใจตรวจสอบให้ดี ก็สามารถเปื่อยและพังได้ วิธีตรวจสอบสายไฟ

  • สังเกตจากฉนวนจะแตกและแห้งกรอบ ซึ่งฉนวนสายไฟที่ชำรุดอาจจะเกิดจากการถูกหนูหรือแมลงสาบกัดแทะหรือสายไฟใกล้แหล่งความร้อน
  • จุดต่อสายไฟต้องให้แน่น หน้าสัมผัสให้ดี พันฉนวนให้เรียบร้อยขนาดของสายไฟฟ้า ใช้ขนาดของสายให้เหมาะสมกับปริมาณกระแสที่ไหลในสาย หรือให้เหมาะสมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในวงจรนั้น
  • สายไฟฟ้าต้องไม่เดินอยู่ใกล้แหล่งความร้อน สารเคมี หรือถูกของหนักทับ เพราะทำให้ฉนวนชำรุดได้ง่าย และเกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรขึ้นได้
  • สายไฟฟ้าต้องไม่พาดบนโครงเหล็ก รั้วเหล็ก ราวเหล็ก หรือส่วนที่เป็นโลหะต้องเดินสายไฟฟ้าโดยใช้พุกประกับ หรือร้อยท่อให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่วลงบนโครงโลหะ ซึ่งจะเกิดอันตรายขึ้นได้

ตรวจสอบปลั๊กไฟให้เรียบร้อย

จะต้องตรวจสอบปลั๊กไฟว่ามีรอยไหม หลวม และมีรอยแตกร้าวหรือไม่ ถ้าเจอว่าเต้ารับหลวมก็ขันสกรูให้แน่นดังเดิม แต่ถ้ามีรอยแตกให้เปลี่ยนใหม่ทันที และควรตรวจสอบเต้ารับทุกจุดว่ามีไฟหรือไม่ โดยการใช้ไขควงวัดไฟ หรือจะใช้หลอดทดสอบวัดดูเอาก็ได้ ถ้าหลอดไฟสว่างขึ้นแสดงว่าเต้ารับยังใช้งานได้

เต้ารับ-เต้าเสียบ

  • เต้ารับ เต้าเสียบ ต้องไม่แตกร้าว และไม่มีรอยไหม้
  • การต่อสายที่เต้ารับและเต้าเสียบ ต้องให้แน่น และใช้ขนาดสายให้ถูกต้อง
  • เต้าเสียบ เมื่อเสียบใช้งานกับเต้ารับต้องแน่น
  • เต้ารับ ต้องติดตั้งในที่แห้ง ไม่เปียกชื้นหรือมีน้ำท่วม และควรติดให้พ้นมือเด็กเล็กที่อาจเล่นถึงได้

แผงสวิตช์ไฟฟ้า

  • ต้องติดตั้งในที่แห้งไม่เปียกชื้นและสูงพอควร ห่างไกลจากสารเคมีและสารไวไฟต่าง ๆ
  • ตรวจสอบดูว่ามี มด แมลงเข้าไปทำรังอยู่หรือไม่ หากพบว่ามี ให้ดำเนินการกำจัด
  • อย่าวางสิ่งกีดขวางบริเวณแผงสวิตช์
  • ควรมีผังวงจรไฟฟ้าโดยสังเขปติดอยู่ที่แผงสวิตช์ เพื่อให้ทราบว่าแต่ละวงจรจ่ายไฟไปที่ใด
  • แผงสวิตช์ที่เป็นตู้โลหะควรทำการต่อสายลงดิน

ตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด

ควรตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดที่มีการจับต้องขณะใช้งาน อย่างเช่น เครื่องซักผ้า โดยดูว่าเกิดกระแสไฟรั่วขึ้นหรือไม่ ด้วยการใช้ไขควงวัดไฟและแตะลงไปที่ตัวอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าหากหลอดติดแสดงว่าเกิดไฟรั่วขึ้น ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการใช้สายไฟยึดกับส่วนที่เป็นโลหะของตัวเครื่อง จากนั้นนำไปยึดกับตะปูที่ตอกติดอยู่กับพื้น เพื่อนำกระแสไฟที่รั่วให้ไหลลงสู่ดิน เพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานเกิดอันตราย

ปกป้องบ้านของคุณจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียด้วยแสง UV-C​

Cover article UVC

ปกป้องบ้านของคุณจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียด้วยแสง UV-C

โคมไฟแสง UV-C สำหรับฆ่าเชื้อโรค โคมไฟตั้งโต๊ะ จากฟิลิปส์

ข้อมูลสินค้า

• ใช้งานง่าย พร้อมแผงควบคุมที่ชัดเจนและคำแนะนำแบบเสียง
• เพิ่มการป้องกันอีกระดับด้วยเซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหวและตัวตั้งเวลา
• จากการทดสอบในห้องแล็บ พบว่าแหล่งกำเนิดแสง UV-C ของเราสามารถลด SARS-CoV-2 (ไวรัสที่ทำให้เกิดเชื้อโควิด-19) บนพื้นผิวจนต่ำกว่าระดับที่ตรวจจับได้ในเวลาเพียง 9 วินาที³
• ยับยั้งเชื้อโรคบนพื้นผิวและวัตถุได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที¹
• หลอดไฟแสง UV-C ประสิทธิภาพสูง ฟิลิปส์ (254nm)
• มีโหมดการตั้งเวลาเวลาในการยับยั้งเชื้อโรค 15 30 45 นาที
• เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีสารตกค้างทั้งระหว่างการใช้งาน และหลังจากใช้งานเสร็จแล้ว สามารถเข้าห้องได้ทันที
• ออกแบบเป็นทรงเหลี่ยมสวยงาม เข้ากันได้กับทุกห้อง
• มีการโต้ตอบด้วยเสียง เพื่อบอกผู้ใช้งานถึงขั้นตอนการตั้งค่าต่างๆ ในการฆ่าเชื้อโรค
• มีเซ็นเซอร์แบบไมโครเวฟเพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวของบุคคล, สัตว์เลี้ยง, และวัตถุ ในรัศมี 3 เมตร
• สายไฟแบบยาวพิเศษถึง 2.9 เมตร
• รับประกัน 1 ปี
• ฟิลิปส์มีประสบการณ์กว่า 35 ปีในด้านอุปกรณ์แสง UV-C
• การออกแบบไดรเวอร์เพื่อประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อโรคโดยเฉพาะ

การใช้งาน

ใช้งานภายในบ้าน, ห้องรับแขก, ห้องนอน, ครอบคลุมพื้นที่ขนาดเล็ก และห้องต่างๆ ขนาดไม่เกิน 25 ตารางเมตร

ข้อควรระวัง

การสัมผัสรังสี UV-C สามารถเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ โปรดทำตามแนวทางความปลอดภัยจากคู่มือผลิตภัณฑ์ก่อนใช้งาน

รายละเอียดสินค้า

สินค้า : โคมไฟตั้งโต๊ะ UV-C disinfection desk lamp
แรงดันไฟฟ้า : 220-240Vac 50/60Hz
กำลังไฟฟ้า : 24 วัตต์
อายุการใช้งานหลอด : 9000 ชั่วโมง
ขนาด : I2 x I2 x 24.7 ซม.
น้ำหนัก : 1200g
สี : Silver 

พร้อมจำหน่ายแล้ว!! ที่ SHOPEE : https://bit.ly/3iklB6a

สินค้า UV-C ได้ผ่านการทดสอบมาตราฐานสินค้าและรับรองความปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อย โดยมีหนังสือแจ้งทางการลงวันที่ 30 มีนาคม 2564